Saturday, October 2, 2010

สมุดปกขาว "การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ"

สํานักกฎหมาย อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ซึ่งรับว่าจ้างเป็นทนายความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกสมุดปกขาว การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบ ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ความหนา 1,857 หน้า 9 หมวด

มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
บทนำ ระบุวัตถุประสงค์การทำหนังสือ
1.เพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights- ICCPR) ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง

ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาในการก่ออาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.

ที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนมีการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการใช้กองกำลังทหารอย่างเกินความจำเป็น มีการกักขังอย่างพลการโดยต่อเนื่องเป็นเวลานาน การทำให้ประชาชนบางส่วนหายสาบสูญ และยังมีการไล่ล่าประหัตประหารทางการเมือง

มีหลักฐานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพียงพอที่จะดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยหน่วยงานที่เป็นกลาง และเป็นอิสระ เพื่อให้มีการรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ

2.หลังการรัฐประหารระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลังพยายามผนึกอำนาจของตน โดย การกดขี่ ปราบปรามการคัดค้านทาง การเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง

มาตรการประการหนึ่งคือ การปราบปรามการเคลื่อนไหวโดยการประทุษร้ายประชาชนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบและกว้างขวาง อาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรม นูญกรุงโรม ซึ่งกำหนดให้จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก

การกระทำผิดต่อคนเสื้อแดงอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุเพียงพอให้ได้รับการพิจารณาให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้

3.เพื่อยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิกนปช. หลายร้อยคนที่กำลังเผชิญข้อกล่าวหาทางอาญา กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง รับรองสิทธิในการต่อสู้อย่างยุติธรรม สิทธิที่จะเลือกทนาย สิทธิในการเตรียมการต่อสู้โดยมีเวลาและเครื่องไม้เครื่องมือ สิทธิในการเข้าถึงหลักฐานอย่างเท่าเทียม

หมวดที่ 2-5 เป็นการเล่าถึงประวัติการปกครองของไทย การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย จนถึงการขึ้นดำรงตำ แหน่งของนายอภิสิทธิ์ ที่ระบุเป็นการผลักดันจากฝ่ายอำมาตย์และทหาร อันเป็นการฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย

หมวด 6 ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง

เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือน มี.ค.2553 กระทั่งวันที่ 19 พ.ค. ที่มีการสลายการชุมนุม โดยระบุ หลังการลอบสังหารเสธ.แดง มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นทางทิศเหนือและใต้ของพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ ในพื้นที่ดินแดง และสวนลุมพินี

ทหารประกาศให้พื้นที่บางแห่ง เช่น ซอยรางน้ำ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และถนนพระราม 4 ซึ่งอยู่ทิศใต้ เป็นเขตใช้กระสุนจริง และอนุญาตให้ยิงผู้ชุมนุมทุกคนที่พบ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีอาวุธ ตามที่มีการบันทึกปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด

เช่น บันทึกของ นิก นอสติตซ์ ช่างภาพนักข่าว แห่งเว็บไซต์ New Mandala ระบุผู้สัญจรไปมาจำนวนมากได้รับบาดเจ็บหรือถูกทหารยิงเสียชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 10 ขวบ ถูกยิงที่ท้องใกล้สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ผู้สื่อข่าวก็ตกเป็นเป้าด้วย

พยานผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งที่อยู่หลังแนวทหารที่ถนนพระราม 4 ได้ยินทหารถามผู้บังคับบัญชาว่า "ยิงชาวต่างชาติกับนักข่าวได้ไหม"

ที่น่าละอายที่สุดคือการปิด "พื้นที่สีแดง" ไม่ให้อาสาสมัครหน่วยแพทย์พยาบาลฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่ ระดมยิงหน่วยอาสาฯ ขณะช่วยเหลือผู้ชุมนุม

และหลังการสลายการชุมนุมหลายชั่วโมง มีประชาชน 6 ราย เสียชีวิตจากการโจมตีที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นเขตหลบภัย

ผู้สื่อข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณวัด เห็นทหารสไนเปอร์ยิงลงมาจากบนรางรถไฟฟ้า เข้าใส่กลุ่มพลเรือนที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งมีพยาบาลอาสาในเครื่องแบบอยู่คนหนึ่งด้วย

ปกขาว ระบุการปฏิบัติการในเดือนเม.ย.-พ.ค. รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพไทย ควบคุมฝูงชนโดยขัดหลักมาตรฐานสากล ในทุกกรณี

หมวดที่ 7 ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร ระบุ กองทัพกลับมามีอำนาจควบคุมประเทศอีกครั้ง ซึ่งต่างจากช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 คราวนี้ทหารปกครองโดยอำพรางใต้กฎหมาย ใช้กฎหมายกดทับสิทธิเสรีภาพที่ทำให้เผด็จการทหารใหม่อยู่เหนือการตรวจสอบ

มีการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการละเมิด ICCPR มาตรา 4 การระงับสิทธิจะทำได้เท่าที่จำเป็นเร่งด่วนของสถานการณ์เท่านั้น รวมถึงการควบคุมข้อมูลข่าวสาร ที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

ขณะที่ ศอฉ.เพิ่มมาตรการยับยั้งการเผยแพร่ข้อเท็จจริงและข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาล ด้วยการออกข้อกำหนดภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดกั้นเว็บไซต์มากมาย

เวลาเดียวกัน รัฐบาลปิดพีทีวี นิตยสารอีก 5 ฉบับ และสถานีวิทยุชุมชนจำนวนมากซึ่งดำเนินการโดยคนเสื้อแดง

ข้อกล่าวหาเสื้อแดงว่ามีวัตถุประสงค์ในการสร้าง "รัฐไทยใหม่" และถูกขยับขยายให้หนักหน่วงขึ้นด้วยการปรากฏของผู้ที่เรียกว่า "ผู้ก่อการร้าย" ในหมู่คนเสื้อแดง แต่แทบไม่มีหลักฐานใดเชื่อมโยงนปช. และแกนนำหลักเข้าไปยุ่งกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่ถูกกล่าวหา

ประการแรก รัฐบาลล้มเหลวในการแสดงข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่จะโยงแกนนำคนเสื้อแดงเข้ากับเหตุระเบิดหลายสิบครั้ง

ประการที่สอง "ชายชุดดำ" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารระหว่างการปะทะเมื่อ 10 เม.ย. ไม่เคยมีการระบุตัวตนว่าเป็นใคร นักรบกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ว่าจะยังประจำการหรือปลดประจำการแล้วก็ตาม

ประการที่สาม รัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือนปช. โดยทันทีหลังมีการโจมตีด้วยระเบิดเอ็ม 79 ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดง เมื่อ 22 เม.ย. ประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมฝั่งสนับสนุนรัฐบาลอ้างระเบิดมาจากตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งขัดกับข้อสรุปของศอฉ. ที่ว่าถูกยิงมาจากพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง

ประการที่สี่ รัฐบาลเตือนประชาชนหลายครั้งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมีอาวุธร้ายแรง มีคลังอาวุธขนาดใหญ่ ต่อมาศอฉ.จัดแสดงอาวุธอ้างถูกพบที่ราชประสงค์หลังเคลียร์พื้นที่ ซึ่งน้อยนิดกว่าที่คาดเมื่อเทียบตัวเลขความสูญเสียที่ไม่ได้ดุลกันเลยระหว่าง 2 ฝ่าย

จะเห็นว่ากลุ่มติดอาวุธร้ายแรงในหมู่เสื้อแดงมีเล็กน้อยมาก ขณะที่มีรายงานข่าวมากมายว่าคนเสื้อแดงตอบโต้ทหารด้วยอาวุธที่ทำขึ้นเอง หรืออาวุธโบราณ

รัฐบาลยืนยันเหตุเพลิงไหม้ทั่วกรุง 39 แห่ง วันที่ 19 พ.ค. มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ แต่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการสมรู้ร่วมคิดได้ เพราะแกนนำส่วนใหญ่ถูกควบคุมตัวแล้วในช่วงที่มีการวางพลิง

คำถามสำคัญเป็นเรื่องเวลาที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ และความรวดเร็วในการเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุของทหาร และการดับไฟของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง

อย่างแย่ที่สุดคือมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเพลิงนี้ถูกจุดด้วยความคับแค้นของผู้สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดง แต่การทำลายอาคารพาณิชย์ที่มีประกันไว้แล้วก็ยังฟังไม่ขึ้น

8.ข้อเรียกร้องหาการรับผิดชอบ ระบุ ไทยมีพันธกรณีหลายระดับ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องนำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องสืบสวนและดำเนินคดีในทุกกรณีที่มีเหตุเชื่อว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเกิดขึ้น

เช่น การสังหารพลเรือนอย่างรวบรัดตัดตอน หรือโดยพลการ โดยเฉพาะกรณีที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

การสืบสวนต้องเป็นธรรม ครบถ้วน และดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง

การปกปิดของรัฐบาลเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และความล้มเหลวของรัฐภาคีในการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็เป็นการละเมิดสนธิสัญญาด้วย

นอกจากการละเมิด ICCPR และกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว การสังหารอย่างกว้างขวางและเป็นระบบโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงในกรุงเทพฯ ในช่วงเม.ย.-พ.ค.2553

และการไล่ล่าประหัตประหารทางการเมืองต่อคนเสื้อแดง ชัดเจนเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมฯ

3 comments:

  1. คนการเมืองOctober 2, 2010 at 7:44 PM

    ท่านที่รักความยุติธรรม มีเพื่อน มีคนรู้จัก เคยเห็นคลิบ เห็นภาพ เห็นข่าวจากต่างประเทศ ในประเทศ ที่แสดงถึงความไม่เป็นธรรมโหดร้าย โฉดชั่วทั้งหลาย ใครอยู่อำเภอ จังหวัดไหน ตำบลใด พี่น้อง ญาติ คนรู้จัก ถูกไส่ล่า ถูกติดตามจนเข้าบ้านเข้าพื้นที่ไม่ได้ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต อบจ หรือหน่วยงานใดที่ได้รับคำสั่ง ให้สอดส่อง ส่งข่าว สกัดกั้น ประชาชนพลเมืองที่ใช้สิทธิพลเมือง สิทธิการเมืองตามพัธกรณีระหว่างประเทศ และอีกมากมายที่ชี้ให้เห็น หรือเชื่อมโยงให้รู้ว่าเป็นการสั่งการที่ไม่เป็นธรรม ของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐที่ขาดหลักนิติรัฐ
    กระบวนการยุติธรรมส่วนไหนที่ขาดหลักนิติธรรม ผู้ว่า นายอำเภอ เจ้าหน้าที่รัฐ ทหารตำรวจ ภาพชัดๆที่กำลังสั่งการ หรือกำลังเล็งยิงไปที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ใครเชื่อมกับใครโยงใยกับใครเพื่อทำชั่ว
    ทั้งหลายเหล่านี้ จะช่วยกันรวบรวมส่งให้ถึงมือทนายความเพื่อดำเนินคดีต่อศาลอาญาระว่างประเทศได้อย่างไร ใครทราบบออกด้วย
    หรือส่งมาที่ "สภานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย"นี่จะได้หรือไม่ แต่ปัญหาอยู่ที่ ใครเป็นผู้รับผิดชอบเว็บนี้ รับแล้วจะทำอย่างไรต่อไป หรือรับแล้วเก็บเงียบ ช่วยตอบด้วย และขึ้นบอร์ดประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกได้รู้ทั่วถึงกัน จะเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างหนึ่งด้วย

    ReplyDelete
  2. ขอให้บุญาภินิหารดลให้ถ้อยคำของอัมสเตอร์ดัม เป็นจริงโดยเร็ว ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ความล่มจมจากการกระทำของรัฐบาลที่กำลังสร้างภาพหลอกลวงประชาชน หลอกลวงชาวโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเมือง ดังที่เราทราบกันดี
    สุภาพสตรี ๓ ท่าน เป็นแกนนำ นปช.ที่ลำปาง มีความรักประชาธิปไตยอย่างจริงใจ จริงจัง ทั้งๆที่ พวกเธอเรียนจบแค่ ป.๖ ม. ๓ ได้เคลื่อนไหวทุกครั้งที่ รมต.ของอภิสิทธิ์ไปภาคเหนือ โดยเฉพาะที่ลำปาง และเสียสละนำคนเสื้อแดงลำปางเข้าร่วมชุมนุมทุกแห่งตลอดมา ตั้งแต่การชุมนุมถูกพวกรัฐบาลบ้าเลือดสลาย จนถึงวันนี สุภาพสตรีทั้ง ๓ ท่าน ยังเข้าบ้านไม่ได้ เพราะตำรวจมะเขือเทศแจ้งให้้หลบตัวก่อน ทราบว่า เป็นเป้าหมายการไล่ล่า ฆ่าให้ตาย ยังดีที่ครอบครัวเข้าใจ ดูแลลูกตามลำพังเพื่อให้ภรรยาปลอดภัย และสนับสนุนให้สู้ต่อไป

    ReplyDelete
  3. กรรมคือการกระทำ ทุกเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผ่านมารัฐบาลต้องมีคำตอบกับประชาชน รัฐบาลยังคงคิดว่าประชาชนเฝ้ารอคำตอบหรือรอว่าจะยุบสภาวันไหน ตัวผมเองก็คิดเช่นนี้ คิดแล้วมีความสุข คิดแล้วสบายใจ เพราะไม่สามารถและมองเห็นว่าพรรคที่ผมเลือกและการต่อสู้วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ผมนั่งรอให้คนมาชักชวน ผมรอให้คนมาจ้างเพราะตกงานและไม่มีจิตใจทำงาน ผมยังตอบไม่ได้เลยว่า ผมรออะไรแต่ผมมีจิตใจรักความยุติธรรม ความเสมอภาคทางสังคมและขอโอกาสทำมาหากิน ผมยังรอดูว่า รัฐบาลและประชาชนในประเทศนี้จะอยู่กันต่อไปอย่างไร เงิน อำนาจ กับอุดมการณ์ของประชาชน..

    ReplyDelete