Monday, October 25, 2010

เปิดใจทักษิณ ถึงพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยไทย

เปิดใจทักษิณ คำต่อคำ ถึง 4 ปี หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

จาก 19 กันยายน 2549 ถึง 19 กันยายน 2553 รวมระยะเวลาเกือบ 4 ปี ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่รอนแรมอยู่ในต่างประเทศอันเป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติ เรามาฟังคำต่อคำของอดีตนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันดีกว่า...

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษกับไทยรัฐออนไลน์ ตอบคำถามถึงพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยไทย หลังการปฏิวัติ 19 กันยายนที่ผ่านมาเกือบ4 ปีว่า

"การเมืองไทย ยังคงวนเวียนอยู่กับระบบเผด็จการที่ฝังรากลึก จนยากเกินหยั่งถึงโดยตนเองเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า เมื่อเผด็จการมายุ่งเกี่ยวกับระบบประชาธิปไตย แล้วโอกาสที่จะถอนตัวออกไปเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ 4 ปี มาแล้วระบบเผด็จการ จึงยังคงอยู่คู่กับระบบประชาธิปไตยไทย ซ้ำร้ายนักการเมืองไทยบางจำพวก ยังดูถูกประชาชนด้วยการขายตัวให้กับเผด็จการ เพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด และอยู่ในอำนาจต่อไป รวมทั้งยังมีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร จนแทบจะกลายวัฒนธรรมของสังคมไทยในปัจจุบันไปแล้ว และที่มักจะดูถูกประชาชนว่าซื้อได้นั้น ในปัจจุบันก็เห็นกันแล้วว่านักการเมืองบางคนซื้อได้ง่ายเสียยิ่งกว่าอีก"

ส่วนจะมีโอกาสที่ประเทศไทย จะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ จากสภาวการณ์ในปัจจุบัน
"ผมคิดว่ามีโอกาสแน่ แต่คงต้องใช้เวลานิดนึงในช่วงนี้ เพราะเนื่องจากว่า มีนักการเมืองได้ขายวิญญาณประชาธิปไตยไปให้กับเผด็จการและหวังจะที่ให้เผด็จการช่วยให้ตนเองสามารถมีอำนาจได้ต่อไปนาน ๆ ซึ่งอันนี้น่ากลัว "

อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความร่วมมือกันสองฝ่ายคือประชาชน ต้องใช้พลังของตัวเองในการลงคะแนนเลือกตั้งให้เลือกประชาธิปไตยจริง และนักการเมืองจะต้องเลิกขายจิตวิญญาณของตัวเองและให้อยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง
การเลือกตั้งหากเกิดขึ้นในปัจจุบัน จะใช่คำตอบของประชาธิปไตยไทยหลัง 19 ก.ย.หรือไม่

ผมคิดว่า แม้จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นการให้โอกาสประชาชนในการชี้ชะตาอนาคตของเค้า เท่าที่เค้าพึงจะสามารถกระทำได้ เพราะกติกาที่รองรับในปัจจุบันมันไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย เพราะกติกา มันต้องแก้ไข แต่ทีนี้ต้องให้ประชาชนเริ่มต้นด้วยการเลือกตั้ง ให้พรรคการเมืองที่เน้นเรื่องของประชาธิปไตยมาแก้ไขกติกาใหม่ เพื่อในอนาคตระบบประชาธิปไตยไทยจะได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพราะวันนี้เปรียบไปก็เหมือนลิงไต่เสาน้ำมัน ตามความรู้สึกตอนที่เราเรียนคณิตศาสตร์ ไต่ขึ้นไป 3 รูดลงมา 2 มันยังเหลืออีก 1 แต่ในเที่ยวนี้ เราไต่ขึ้นไปถึง 5 ถึง 7 แล้ว แต่มันรูดลงที่ 8 หรือ 9 มันติดลบ

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นอะไรที่จะต้องช่วยกันทั้งภาคประชาชนและนักการเมือง เพราะจะไปอาศัยคนอื่นก็คงจะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนซึ่งแต่เดิมเคยเรียกร้องประชาธิปไตยเคยพูดถึงเรื่องปิดหูปิดตาปิดปาก มาสมัยก่อน แต่วันนี้สื่อมวลชนหลายพวกเป็นสื่อมวลชนที่กระโดดเข้าหาผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย มาวันนี้ได้ทำประชาธิปไตยเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อสังคมไปเยอะ โดยแม้ส่วนใหญ่ยังดีอยู่แต่ที่เสียไปก็เสียไปเยอะมาก
มองว่านักการการเมืองไทยในระบบปัจจุบันพัฒนาขึ้นหรือเลวร้ายลงหลังการปฏิวัติ 19 กันยายนหรือไม่

ผมว่าไม่ดีขึ้น ไม่ดีขึ้นจริง เพราะส่วนหนึ่งได้ขายจิตวิญญาณไปให้ผลประโยชน์และอำนาจและก็มีความอยากเอาตัวรอด มากกว่าที่จะรักอุดมการณ์ ซึ่งเราต้องเรียกร้องว่า นักการเมืองควรจะเห็นแก่อุดมการณ์มากกว่าอำนาจ เพราะปัจจุบันแม้กระทั่งนักการเมืองฝ่ายค้านบางคนก็ยังขายจิตวิญญาณ หวังแต่งบประมาณ หวังอะไรต่ออะไรจนอันนี้เป็นเรื่องที่บางคนยอมหน้าด้านกับกติกา โดยไม่คำนึงถึงสังคมโดยไม่คำนึงถึงจะต้องกลับไปอายใคร เอาเงินไว้ก่อนอย่างนี้ก็มี

ขณะที่พรรคเพื่อไทย จะสามารถลงสู้ศึกเลือกตั้งที่อาจจะมาถึงในเร็วๆ นี้ ได้หรือไม่

ผมว่ามันไหวไม่ไหว มันไม่ได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทย แต่มันอยู่ที่ประชาชนยังอยากจะสู้ต่อหรือเปล่า หรือยังอยากที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่ ยังอยากจะได้พรรคการเมืองที่ทุ่มเทเพื่อประชาชนอยู่หรือเปล่า

มองว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จะมีมากน้อยเพียงใด

ผมว่า หากเป็นในเร็วๆ นี้ ผมไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะกล้ายุบสภาหรือเปล่า เพราะเค้ารู้ดีว่ายุบก็แพ้ โดยตนเองมั่นใจว่าประชาชนยังอยากเห็นรัฐบาลที่ทำเพื่อประชาชน รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ยังอยากเห็นกติกาที่เป็นประชาธิปไตย ยังไม่อยากเห็นนักการเมืองที่คอยที่จะไปซุกปีกทหารเพื่อจะให้ตัวเองอยู่หรือไปตั้งรัฐบาลผสมในค่ายทหาร เค้าคงไม่อยากเห็นแบบนั้น เรายังอยากให้การเมืองเป็นเรื่องของการเมือง
ขณะที่หากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ยังเป็นห่วงเรื่องการปฏิวัติอยู่หรือไม่

ก็คง..ในเมื่อกติกาเป็นอย่างนี้ แล้วสังคมก็รู้แล้วว่าการกระทำที่ผ่านมาเป็นการกระทำสองมาตรฐานโดยไม่มียางอาย ถ้าจะทำอีกเราก็ต้องถือว่าประชาชนเค้าก็จะยืนยันของเค้าอีก จะทำอีกก็ไม่เป็นไรก็ให้ประชาชนยืนยันออกมาเรื่อย ๆ ผลสุดท้ายระบบความยุติธรรม ระบบขององค์กรอิสระก็จะเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเอง หากขืนยังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะสำคัญระบบทุกอย่างต้องรองรับเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่ระบบเพื่อใบสั่ง

ส่วนหากพรรคเพื่อไทย ได้รับชัยชนะ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่

ผม.. ผมไม่ได้สนใจเรื่องเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ ตราบใดที่ประเทศไทยมีความยุติธรรม ตราบใดประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ผมคิดว่าก็เป็นประเทศที่น่าอยู่ และผมเองก็เป็นคนที่รักชาติรักบ้านเมืองก็อยากกลับไปอยู่ แต่เมื่อกลับไปแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องเป็นอะไรอีก อย่างไรก็ดีต้องยอมรับก่อนว่า วันนี้ผมเองเป็นหนี้บุญคุณประชาชนเยอะ ผมต้องคิดว่าจะทำอะไรจึงจะรับใช้เค้าได้ เพราะว่าเค้ามีน้ำใจต่อผม มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องถือว่าผมเป็นหนี้บุญคุณเค้าเยอะ ก็แล้วแต่ว่า... มันคงให้เป็นเรื่องของประชาชนฝ่ายสนับสนุนที่จะทำให้ผมได้รับใช้ประชาชนหรือไม่ อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่นอกเหนือจากอำนาจของประชาชน อันนี้ผมก็สุดแล้วแต่ คือ... ถามว่าผมอยากเป็นอะไรไหม เวลานี้ผมก็มีความสุขดี ไม่อยากเป็นอะไร ถ้าหากว่า เป็นสิ่งที่ผมต้องตอบแทนบุญคุณประชาชน หรือว่าได้รับอนุญาตให้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยหรือประชาชนผมก็ทำได้ แต่หากไม่จำเป็นก็ขออนุญาตอยู่อย่างนี้ดีกว่า
ส่วนจะมีข้อเสนอแนะอย่างไรเพื่อนำมาปรับปรุงให้กติกาของระบบประชาธิปไตย กลับมาสู่ความถูกต้อง

คือวันนี้ ต้องสร้างความปรองดองแห่งชาตินั่นแหล่ะคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และที่สำคัญวันนี้คนไทยต้องหันหน้าเข้าหากันและเลิกชี้นิ้วใส่กันและมองไปข้างหน้าด้วยกันดีกว่า เพราะถ้าหากเรายังชี้นิ้วใส่กันมันไม่จบหรอกและไม่มีใครยอมใคร มันต้องหันหน้าเข้าหากัน กอดคอกันไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของประเทศไทยและลูกหลานเราดีกว่า แล้วก็ ... มาตกลงกันว่ากติกาอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะว่าคนที่อยู่ในวงการการเมือง ไม่มีใครอยู่จีรังยั่งยืนหรอก ไม่กี่วันก็ต้องล่วงลับลากันไป เปลี่ยนลูกเปลี่ยนหลานกันไปแต่กติกาที่มันจะต้องอยู่ถามว่า ทำไมฟุตบอลอังกฤษมันถึงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะกติกามันไม่เปลี่ยนเค้ารักษากติกาที่เป็นกลาง กรรมการก็เป็นกลางเวลาแข่งคนดูก็ไม่ต้องตีกัน หากกรรมการไม่เป็นกลาง ก็เท่ากับยั่วยุให้คนดูมาตีกัน

ส่วนคณะกรรมการสมานฉันท์ที่รัฐบาลตั้งขึ้น จะนำไปสู่สิ่งที่พูดถึงข้างต้นได้หรือไม่
ผมว่าทุกอย่างมีความเป็นไปได้ อยู่ที่ว่าคนที่วันนี้อยากเห็นอย่างไร ถ้ายังมองว่าผมไม่จงรักภักดีอยู่มันก็เห็นไม่ได้ มันยาก แต่ถ้ามองว่าที่ผ่านมาผมทำงาน ผมไม่มีอะไรที่แสดงว่าไม่จงรักภักดีเลย มีแต่ใส่ความข้างเดียวและเสียเวลากับการกล่าวหาผมว่าไม่จงรักภักดี จนบ้านเมืองเละเทะหมดเนี่ย ถามว่ามันคุ้มไหม จับหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งหลังเนี่ย เวลานี้ หนูไม่อยู่ในบ้านแล้วยังไม่เลิกเผาบ้าน
หากมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดการเจรจากับบุคคลระดับสูงในรัฐบาลคิดว่าจะเจรจากับผู้ใดจึงจะสามารถคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้

อึม...ผมพูดกับคนได้ทุกคนยกเว้น เสือ สิงห์ กระทิง แรด เพราะผมพูดภาษาเสือ สิงห์ กระทิง แรด ไม่เป็น พูดแต่ภาษามนุษย์ธรรมดา และผมเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากเห็นบ้านเมืองมีสันติสุข และความปรองดอง

หากเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เปิดเจรจาเอง จะมีความเป็นไปได้หรือไม่

ก็เรียนไง ผมคุยได้กับทุกคน ถ้าทุกคนคิดว่าผมเป็นคนไทย และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน เคยทำงานให้บ้านเมืองมา ก็ต้องย่อมมีความรักชาติ รักประชาชน และสถาบัน ซึ่งหากคิดมองผมในมุมนี้ คุยกับผมได้ทุกคน

มุมมองที่มีต่อบทบาทของทหารหลังเหตุการณ์ 19 กันยายนต่อการเมืองไทยในปัจจุบัน
(เซ็นเซอร์)
ทหารต้องเป็นทหารอาชีพ
มองว่าปัญหาการเมืองจะทำให้ประเทศชาติต้องสะดุดการพัฒนาไปอีกนานเพียงใด

ผมว่าวันนี้ เราต้องเลิกคิด ... วันนี้ หลายคนไม่ได้มองรอบตัวเอง เพราะมองแต่ตัวเองมากไป คืออย่าไปคิดว่าประเทศไทยเราจะอยู่คนเดียว วันนี้เราเชื่อมโยงกับโลกไปมาก หลายประเทศเค้าก็หวังจะติดต่อกับประเทศไทย เราต้องเลิกระแวงซึ่งกันและกันได้แล้ว เราต้องหันกลับไปดูกติกาที่มันเป็นธรรม กรรมการต้องถูกควบคุมด้วยระบบไม่ใช่ถูกสั่งด้วยคน
เปิดใจเบื้องหลังการถูกปฏิวัติ 19 ก.ย.

ในช่วงก่อนหน้าวันที่ 19 ก.ย. เคยทราบว่าก่อนหรือไม่ว่าทหารจะมีการปฏิวัติ ในช่วงเวลาดังกล่าว

ผม....ก็ทราบว่ามีความไม่พอใจ มีความพยายาม แต่ไม่ทราบละเอียดก่อนหน้านั้น เพราะว่าหน่วยข่าวกรองของผมมันแย่ ทำงานด้านการข่าวแย่มาก อีกทั้งผมอยู่เมืองนอกนานไปหน่อย เพราะหากผมอยู่ที่เมืองไทย ในช่วงนั้น ก็คงไม่มีการปฏิวัติ แต่ผมมั่นใจว่าการลอบฆ่า ผมก็ยังจะคงเกิดขึ้นต่อไป

ส่วนหากย้อนเวลาได้ จะแต่งตั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. เป็น ผบ.ทบ หรือ แต่งตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นแม่ทัพภาค 1 หรือไม่
คือประเทศไทยนะครับ ผมเคยพูดตลอดเวลาว่า (เซ็นเซอร์)

ขณะที่ผิดหวังกับบทบาทของทั้งคู่หรือไม่ ภายหลังร่วมกันปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.

ผม .... มัน ...ผมเฉย ๆ ครับ เพราะว่ามนุษย์ เนี่ย ยากแท้หยั่งถึง เพราะแม้กระทั่งคนในพรรคของผมเอง บางคน ไม่มีอะไรเลย ผมให้โอกาสเค้าจนเติบโตขึ้นมา เค้ายังหักผมได้เลย บางทีคนเราบางทีก็มีสิทธิหลงได้ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

ด้านรู้สึกผิดหวังกับบุคคลใดที่เคยทำงานอยู่ร่วมกัน แต่สุดท้ายแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามมากที่สุด หลัง 19 ก.ย. โดยเฉพาะในรายกรณีของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ในอดีตถือเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดมากคนหนึ่ง

ผม.. เฉย ๆ ครับ ไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร ก็มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของ ...แต่ละบุคคลทุกคนมีสิทธิเลือกครับ ทุกคนสามารถเลือกชีวิตของตัวเองได้ ไม่มีปัญหา ผมเองก็คงไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตใครได้ ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ ใครอยากจะไปก็ไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือว่าวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เรากำลังอาสาประชาชนมาทำงาน เราก็คิดว่าเราต้องให้ประชาชนทำให้บ้านเมือง แต่ว่าจะทำแบบไหน แล้วก็ทุกคนก็ต้องมีวัฒนธรรม อริยธรรม จริยธรรม ที่จะต้องคำนึงว่า จะทำอะไรแล้วจะเกิดความละอายหรือไม่ละอาย หิริโอตัปปะ ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
จะร่วมงานกับ นายเนวิน ชิดชอบ อีกครั้งได้หรือไม่

ผม.... ไม่พูด ครับ เพราะผมไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว ตอนนี้ เพราะผมเป็นคนตกงาน กำลังหางานให้ตัวเองทำอยู่

เคยวิตกกังวลกับบุคคลฝ่ายตรงข้าม ที่สุดท้ายกลับมาร่วมกันต่อสู้ในนามกลุ่มเสื้อแดงว่าจะเป็นไส้ศึกทางการเมืองหรือไม่

อันนี้..ก็เป็นเรื่องของแกนนำเสื้อแดง ผมไม่รู้เค้า ผมไม่เคยไปยุ่งกับเค้าในเรื่องรายละเอียดใด ๆ เลย มีอะไรก็จะคุยกันเฉพาะอุดมการณ์ทางการเมืองมากกว่าในรายละเอียดไม่เคยไปยุ่งปล่อยเค้า...

3 comments:

  1. ความปองดอง สามัคคี อยู่ที่ใจ
    เมื่อมีภัย ก็รวมกัน ตามสัญชาติ
    ยิ้มสยาม สู้ไม่ถอย คอยโอกาส
    สู้อำนาจ ไม่เป็นธรรม จำต้องสู้

    ผู้ชนะ คือ ศัตรูชาติ ไม่อาจเถียง
    ความไม่เที่ยง ตรงต่อธรรม ยังเห็นอยู่
    อาณาเขต แสนศักดิ์สิทธิ์ ปิดประตู
    สังหารหมู่ ประชาราษฏร์ อาจเป็นจริง

    สัจธรรม นำให้เห็น ในวันใด
    ประชาไทย คงร่วมรุก ทุกชายหญิง
    ไม่ปล่อยไว้ ให้คงอยู่ ผู้ลอบยิง
    ต้องไล่ลิง หลอกเจ้าแท้ ทอดแหเพลิน

    สยามประเทศ อาณาเขต แผ่นดินธรรม
    มีผู้นำ แผ่นดินทอง ต้องสรรเสริญ
    ถ้ายามใด ไม่สร้างสรรค์ ความเจริญ
    ต้องขอเชิญ และขอบอก ให้ออกไป

    ReplyDelete
  2. ปี 2549: วิกฤตการณ์แห่ง “อำนาจอธิปไตยของปวงชน” และการพังทลายของ “นิติรัฐ”
    การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2549 ในแง่มุมที่ยังไม่มีเอกสารใดนำเสนอต่อสาธารณะมาก่อน เพื่อวิเคราะห์ถึงเหตุแห่งวิกฤติอันนำไปสู่การทำรัฐประหาร19กันยา ผลกระทบทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดจากการรัฐประหารและประเมิณสถานการณ์ทางด้านการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตภายใต้เงาปืนของเผด็จการทหาร เรียกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2548 -กย. 2549 ว่า “วิกฤตการณ์แห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน” เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนผู้ยึดครองอำนาจรัฐหรืออำนาจอธิปไตยด้วยกระบวนการสองด้าน กล่าวคือ ด้านหนึ่ง ประนาม โจมตี ทำลายความชอบธรรมของฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง กระทั่งมุ่งหมายปลิดชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร มุ่งเอาชนะคะคานโดยไม่เลือกวิธีการ ส่วนอีกด้านหนึ่งพวกเขาใช้ประโยชน์จากความจงรักภักดีของประชาชนไทยที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายตน ภายใต้ Motto ที่ฟังดูแปลกๆ เช่น “ทวงคืนประเทศไทย” “ทำลายระบอบทักษิณ” “ถวายคืนพระราชอำนาจ” “สู้เพื่อในหลวง” “นายกพระราชทาน ผ่านมาตรา 7” เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป้าหมาย “ทักษิณ..ออกไป” ซึ่งจะทำให้ “กลุ่มอำนาจอื่น” เข้าควบคุม “อำนาจอธิปไตย” ได้ง่ายขึ้น
    “กลุ่มอำนาจอื่น” ได้แสดงตนในนาม “คณะปฎิรูปการการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค)” ใช้ภาษีประชาชน 1,000 ล้านบาท เพื่อเติมน้ำมันรถถัง ให้เบี้ยเลี้ยงคนถือปืน จัดหากระสุนดินปืน เพื่อข่มขวัญ คุกคามประชาชนที่อาจคัดค้านพวกตน ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2540 ใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ เอากองกำลังอาวุธควบคุมสื่อทีวี และออกประกาศ คำสั่ง ห้ามประชาชนทำในสิ่งที่พวกตนไม่ประสงค์ให้ทำ และคำสั่งให้ประชาชนปฎิบัติตามในสิ่งที่ตนต้องการ เป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ แต่งตั้งสภานิติบัญญัติให้รางวัลแก่ผู้เอาการเอางานต่อต้านระบอบทักษิณ แต่งตั้งองค์กรอิสระปูนบำเน็จแก่นักล่าระบอบทักษิณ แต่งตั้งข้าราชการและคณะรัฐมนตรีเพื่อควบคุมกลไกรัฐทั้งปวงให้อยู่ในความควบคุมของตน อำนาจอธิปไตยที่เคยเป็นของปวงชน อยู่ในเงื้อมมือกองโจรในเครื่องแบบโดยสมบูรณ์ ความเป็นไปของประเทศไทยในทุกๆเรื่องล้วนกำหนดโดย “กลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือเดียว” คณะนี้พวกเขาได้ใช้ภาษีประชาชน 1,000 ล้านบาทเพื่อปล้นอำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้าควบคุมกลไกรัฐทุกกระทรวงทบวงกรม รวมรัฐวิสาหกิจ แล้วเข้าบริหารงบประมาณประจำปีอีก 1.5 ล้านล้านบาทโดยใช้วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์บริหารประเทศด้วยวลีสั้นๆเพียงวลีเดียวนั่นคือ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ปรากฎการณ์เหล่านี้จะเรียกขานเป็นอื่นไม่ได้ นอกจาก “การพังทลายของ นิติรัฐ” นั่นเอง.(ลองเปรียบเทียบกับการเข้าสู่อำนาจของพรรคการเมืองซึ่ง รัฐใช้งบ 2,000 ล้านเพื่อบริหารการเลือกตั้ง นักการเมืองต้องลงแรงตระเวณหาเสียง ยกมือไหว้ขอคะแนนเสียงจากประชาชน ใช้เงินส่วนตัว เขตเลือกตั้งละไม่เกิน 1 ล้านบาท งบหาเสียงพรรคเฉลี่ยพรรคละ 100 ล้านบาท ประมาณการทั้งสิ้น 6,500 ล้านบาทเป็นส่วนของรัฐ 2,000 ล้าน ส่วนขอฝ่ายการเมืองทุกพรรครวมกัน 4,500 ล้านแต่ คปค.ไม่ใช้เงินส่วนตัวแม้สลึงเดียวเข้าสู่อำนาจรัฐจัดเงินเดือนให้ตัวเองและพรรคพวก ส่งพรรคพวกคุมรัฐวิสาหกิจตักตวงผลประโยชน์เข้ากระเป๋าและจัดงบประมาณประจำปี อีก 1.5 ล้านล้านบาทจัดเองใช้เอง อนุมัติเอง โดยไร้การตรวจสอบถ่วงดุลย์จากทุกภาคส่วนของสังคม)

    ReplyDelete
  3. จากการศึกษาประวัติการเมืองไทยด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของข้าฯ สรุปได้ว่า ก่อน 2475 มีคนได้ไปศึกษา ณ อารยประเทศแถบยุโรป ส่วนมากจะเป็นคนในวงศ์ตระกูลขุนนาง ซึ่งมีฐานะสูงในสังคมไทย เป็นผู้มีอำนาจกุมชะตาบ้านเมือง ไม่มีความทุกข์ยากใดใด แบ่งชั้นวรรณะ เห็นประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนมากของประทศเป็นเพียง ไพร่ พวกเขามีความรู้สูงแต่ก็กลัวการสูญเสียอำนาจ และก็คาดการณ์ได้ว่า ไม่อาจฝืนวิวัฒนาการของกระแสโลกได้ พวกเขาจึงวางแผนแบบแยบยล เพื่อคงสถานะและอำนาจของพวกเขาไว้ โดยใช้คำว่า ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชน หลังการเปลี่ยนแปง 2475 พวกเขามิได้ทุ่มเทให้ความรู้การเมืองแก่ประชาชน ประชาชนเท่านั้นต้องใฝ่หาความรู้เอง พวกเขาปกครองด้วยระบอบรัฐราชการ เผด็จการทหารมาตลอด โดยใช้การพัฒนาทางวัตถุเป็นตัวล่อ แล้วก็กล่าวหาว่า นักการเมืองทุจจริค ไม่จงรักภักดี แล้วก็ทำรัฐประหาร ทำอย่างนี้อย่างซ้ำซาก จนประเทศไทยล้าหลังที่สุด พลังบริสุมธิ์ เฃ่น ตุลา 16 เม่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ประชาธิปไตยได้

    ReplyDelete