Wednesday, October 6, 2010

ปัญหาองค์การนำในขบวนการประชาธิปไตย (ตอนที่ ๒)

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
1 ตุลาคม 2553
ที่มา : ประชาไท

3. ลักษณะเฉพาะของขบวนการประชาธิปไตยปัจจุบัน
ในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจำต้องมีองค์การนำที่มีการจัดตั้งและแนวทางที่ถูกต้องชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ลักษณะขององค์การนำย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะตัวของขบวนการเคลื่อนไหวนั้น ๆ โดยไม่มีสูตรสำเร็จ

การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยที่คลี่คลายขยายตัวจนกลายเป็น “ขบวนคนเสื้อแดง” ในวันนี้มีลักษณะเฉพาะคือ เป็นการก่อตัวและพัฒนาขึ้นอย่างเป็นไปเองของมวลชน จากมวลชนชั้นล่างในเมืองและชนบท ชนชั้นกลางไปจนถึงบางส่วนของชนชั้นสูงของสังคม กระทั่งปัจจุบัน กลายเป็นขบวนการมวลชนที่กว้างไพศาลและหลากหลาย โดยมีจุดร่วมกันคือ ล้วนตื่นตัวจากประสบการณ์จริงทางตรงที่ได้เห็นความกระตือรื้อร้นและลักษณะก้าวหน้าของรัฐธรรมนูญ 2540 ความล้าหลังเป็นเผด็จการกดขี่ของระบอบอำมาตยาธิปไตย ปฏิเสธรัฐประหาร 19 กันยายนและผลพวงทั้งหมด โดยมีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ ให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” อย่างแท้จริง

มวลชนเหล่านี้ก่อรูปเป็นกลุ่มและองค์กรระดับรากฐานที่เป็นธรรมชาติ แต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา และเชื้อชาติที่หลากหลาย เป็นกลุ่มมวลชนกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศหลายพันกลุ่ม มีตั้งแต่ขนาดเล็กสุดน้อยกว่าสิบคน ไปจนถึงกลุ่มขนาดใหญ่หลายร้อยคน แกนนำมักจะเป็นผู้นำตามธรรมชาติในท้องถิ่นหรือกลุ่มสังคมนั้น ๆ ที่มีทรรศนะประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มีความสัมพันธ์เกื้อหนุนที่แตกต่างกันกับนักการเมืองและพรรคการเมืองในท้องถิ่นของตน มีลักษณะวิธีการนำที่เป็นปัจเจกชนไปจนถึงเป็นคณะแกนนำแบบรวมหมู่อย่างหลวม ๆ แต่สิ่งที่เครือข่ายมวลชนเหล่านี้ยังขาดอยู่คือ การเชื่อมโยงกันเข้าเป็นองค์กรเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรมในระดับทั่วทั้งประเทศ

การเข้าร่วมของมวลชนอย่างกว้างขวาง ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมและลักษณะกระจัดกระจายนี้ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยไม่สามารถที่จะก่อรูปขึ้นเป็นองค์การหนึ่งเดียวที่มีวินัยการจัดตั้งในระดับสูง และมีการนำแบบรวมศูนย์ดังเช่นพรรคหรือองค์การปฏิวัติ ไม่ใช่การก่อรูปเป็นองค์กรแบบทหารหรือคล้ายทหารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการเผชิญหน้าโดยตรง

รูปแบบการนำที่เป็นพรรคหรือองค์กรปฏิวัติที่มีการนำแบบรวมศูนย์ มีการจัดตั้งที่เข้มงวด หยั่งรากลงสู่ขบวนการมวลชนและองค์การแนวร่วมในลักษณะ “จากบนสู่ล่าง” นั้น เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นและขยายตัวได้ในเงื่อนไขที่เป็นเฉพาะหนึ่ง ๆ เท่านั้น และมิอาจเป็นสูตรสำเร็จที่ประยุกต์ใช้ทั่วไปได้ และยิ่งใช้ไม่ได้กับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยของไทยในขั้นตอนปัจจุบัน ลักษณะการจัดตั้งแบบพรรคหรือองค์กรปฏิวัติจะกลายเป็นพันธการผูกมัดทำลายความริเริ่มกระตือรือร้นอย่างเป็นธรรมชาติของมวลชน ไปจำกัดให้มวลชนอยู่ในกรอบวินัยแบบองค์กรการทหาร และยังขัดกับหน่อกำเนิดของขบวนการที่เป็นประชาธิปไตยแบบมวลชน

ยังมีข้อเสนอให้ขบวนการประชาธิปไตยก่อรูปขึ้นเป็นพรรคการเมือง คำถามคือ จะเป็นพรรคการเมืองในรูปลักษณะใด? หากก่อรูปเป็นพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา ก็จะถูกจำกัดด้วยกรอบอันคับแคบของระบบพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งในแง่โครงสร้าง หลักนโยบาย แนวทาง การก่อรูปองค์กรนำ ตัวบุคคลและองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารพรรค การบริหารจัดการภายในทั้งด้านบุคคล การเงิน และทรัพยากรอื่น ๆ ที่ต้องอยู่ภายใต้กลไกกำกับพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญ 2550

รัฐธรรมนูญ 2550 ของอำมาตยาธิปไตยจงใจกำหนดให้พรรคการเมืองเป็นเพียงไม้ประดับของระบอบอำมาตยาธิปไตย มีบทบาทเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้งตามที่ฝ่ายเผด็จการเปิดช่องให้ มีกฎหมายและข้อกำหนดมากมายที่จำกัดแนวทางนโยบายและกิจกรรมการเคลื่อนไหวทั้งในสภาและนอกสภาของพรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองในระบอบนี้เป็นเบี้ยหัวแตก ง่อยเปลี้ย ไม่อาจเป็นเครื่องมือในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของมวลชนได้ หากฝ่ายประชาธิปไตยยึดรูปแบบพรรคการเมืองในสภาเป็นหลัก ก็จะเป็นการมัดมือมัดเท้าการเคลื่อนไหวของตนไว้ในกรอบกติกาพรรคการเมืองอันคับแคบที่ฝ่ายเผด็จการเป็นผู้กำหนดขึ้น ในขณะที่มวลชนประชาธิปไตยส่วนข้างมากจะถูกกันออกไปและไม่สามารถเข้าร่วมส่วนได้

ฉะนั้น รูปแบบพรรคหรือองค์การปฏิวัติ และรูปแบบพรรคการเมืองในรัฐธรรมนูญ 2550 ล้วนไม่เหมาะกับลักษณะเฉพาะของขบวนประชาธิปไตยของไทยปัจจุบัน อันเนื่องมาจากลักษณะที่เป็นไปเอง หลากหลายและอิสระอย่างสูงของมวลชน รวมถึงลักษณะวิธีการรวมกลุ่มและการก่อรูปแกนนำท้องถิ่นที่เป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละท้องที่

4. แนวทางสมัชชาประชาชนคนเสื้อแดง
การปรับองค์การนำของขบวนประชาธิปไตยจะต้องคำนึงถึงลักษณะพิเศษเฉพาะของกลุ่มมวลชนข้างต้น และต้องเสริมสร้างจุดแข็งของพวกเขาคือ ความกระตือรือร้น ลักษณะสร้างสรรค์อย่างเป็นไปเอง และการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของมวลชน การรักษาไว้ซึ่งลักษณะหลากหลายและเป็นอิสระในพื้นที่ของแต่ละกลุ่ม ให้จุดแข็งเหล่านี้สามารถแสดงออกเป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวของมวลชนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ที่มีทั้งลักษณะสร้างสรรค์ตามธรรมชาติในพื้นที่ และลักษณะเอกภาพในระดับประเทศ

องค์การนำของขบวนประชาธิปไตยจึงต้องมีการปรับปรุงใหม่ จะต้องไม่ใช่แนวทางที่ก่อรูปแกนนำระดับชาติขึ้นแล้วจึงไปเชื่อมโยงอย่างหลวม ๆ กับแกนนำพื้นที่และมวลชนดังเช่นที่คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) ได้กระทำผ่านมา แต่จะต้องเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวจัดตั้งของมวลชนที่ก่อรูป “จากล่างสู่บน”

เราสามารถศึกษาจากตัวอย่างประสบการณ์การปฏิวัติของประชาชนในต่างประเทศในระยะร้อยปีที่ผ่านมา จะพบว่า การเคลื่อนไหวอย่างเป็นไปเองของมวลชนขนาดใหญ่เพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์จะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันในหลายประเทศ ซึ่งก็คือรูปแบบสมัชชาหรือสภาประชาชน ประสบการณ์จากประเทศเหล่านั้นอาจจะแตกต่างกันในแง่รายละเอียด แต่หลักการใหญ่เป็นอันเดียวกันคือ การสร้างประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งมวลชนมีส่วนร่วมโดยตรงในระดับท้องที่ ก่อรูปจากล่างสู่บนด้วยการริเริ่มของมวลชนเอง

ในแง่การจัดตั้ง ตัวอย่างในต่างประเทศล้วนเหมือนกันคือ เริ่มจากการรวมตัวในพื้นที่ตามสภาพความเป็นจริงในท้องถิ่น เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกภาพยืดหยุ่นในแง่องค์ประกอบและจำนวน สมาชิกพื้นฐานทั้งมวลรวมตัวกันเป็นสภาประชาชนในท้องที่ (หมู่บ้าน ชุมชน หรือตำบลแล้วแต่จำนวน) กำหนดกิจกรรมและทิศทางการเคลื่อนไหวในพื้นที่ของตนทั้งหมด เลือกตั้งคณะกรรมการเป็นคณะประสานงานของพื้นที่ มีหน้าที่ปฏิบัติงานประจำแทนสภาเมื่อไม่มีการประชุม จากนั้น สภาท้องที่จะเลือกตัวแทนจำนวนหนึ่ง มาร่วมประชุมก่อรูปเป็นสมัชชาประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการประสานงานระดับชาติต่อไป ยิ่งกว่านั้น การก่อรูปจากสมัชชาท้องที่มาสู่สมัชชาระดับชาติ อาจมีสมัชชาระดับกลางด้วย เช่น สมัชชาจังหวัดหรือสมัชชาภาคก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับความเป็นจริงของการปฏิบัติ

ผู้เข้าร่วมสมัชชาระดับชาตินอกจากประกอบด้วยตัวแทนมวลชนจากพื้นที่แล้ว ยังอาจรวมตัวแทนจากองค์กรเคลื่อนไหวในวิชาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ตัวแทนนักศึกษา ครูอาจารย์ นักวิชาการ ทนายนักกฎหมาย สื่อมวลชน ตัวแทนลูกจ้างคนงาน ตัวแทนจากชุมชนเมือง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เป็นข้อทดลองเสนอ จากการศึกษาประสบการณ์ของต่างประเทศ ซึ่งต้องปรับใช้เข้ากับสภาพเฉพาะของประเทศไทย ต้องอาศัยมิตรสหายช่วยกันคิดและถกเถียง ลองปฏิบัติเป็นโครงการนำร่องในจังหวัดที่พร้อม ค่อย ๆ ก่อรูปขึ้นจากล่างสู่บน อาศัยประสบการณ์จากพื้นที่ที่ทำสำเร็จ มาปรับใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ขยายไปทั่วประเทศ ก่อรูปเป็นสมัชชาประชาชนคนเสื้อแดง เสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมระยะยาวกับการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยของปวงชนที่กำลังจะมาถึงในเร็ววัน

บทความที่เกี่ยวข้อง
ปัญหาองค์การนำในขบวนการประชาธิปไตย (ตอนที่หนึ่ง)

1 comment:

  1. ดีใจทุกครั้ง ที่มีนักวิชาการกล้าแสดงความเห็นเพื่อประชาธิปไตยในยุคนี้ ยุครัฐบาลทหารเผด็จการซ่อนรูป ท่านอาจารย์พิชิต เป็นอีกท่านหนึ่งที่ต้องชื่นชม และบทความของคณะนิติราษฎร์ทุกบทล้วนมีสาระที่ต้องอ่าน สภานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย คงต้องนำข้อคิดในบทความนี้ มาเทียบเคียงกับพฤติกรรมองค์กรของเราว่า “ เรากำลังนำแบบใด “ เพราะในขณะนี้ กลุ่มพลังมวลชนในท้องที่ต่างๆ เขาก็ยังยึดโยงกันอยู่อย่างแนบแน่น มีกิจกรรมของเขาอยู่แทบทุกเดือน บางกลุ่มมีแทบทุกสัปดาห์ เขาก้าวข้ามการยึกตัวบุคคลไปแล้ว เขาช่วยเหลือกันเอง หาทุนเอง สิ่งที่เขาต้องการ คือ การสนับสนุนทุกด้าน
    โครงสร้างของสภานักพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย เป็นแบบใด แบบบนลงล่าง หรือ แบบล่างสู่บน คงต้องมาทบทวนเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กรก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในระยะเริ่มต้นขององค์กร เพราะจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมขององค์กรด้วย พฤติกรรมองค์กรจะมีส่วนสำคัญยิ่งต่อวัฒนธรรมขององค์กร องค์กรจะดำเนินงานสำเร็จหรือไม่ เพียงใด ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร และพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กร ประเด็นสำคัญ คือ สมาชิกทุกคนมีวัตถุประสงค์เดียวกันจริงหรือไม่? มุ่งมั่นที่จะไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นหรือไม่? บริสุทธิ์ใจเพื่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่? หรือมีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝง? นี่คือสิ่งสำคัญที่ต้องทบทวนอย่างยิ่ง

    ReplyDelete