การเมืองไทย 2553 : ทางตันของคณะรัฐประหารและรัฐบาลประชาธิปัตย์
โดย รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
1.ภูมิหลังปัญหาและความต่อเนื่องของความขัดแย้งการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 มิได้มีเป้าหมายเพื่อมุ่งกำจัดพรรคไทยรักไทยเท่านั้น แต่ต้องการกำจัดการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อการหวนคืนสู่อำนาจของการเมืองระบอบคณาธิปไตย โดยรัฐสภาที่มีเครือข่ายคณะรัฐประหารในกองทัพ ผู้ร่วมผลประโยชน์ภายนอกกองทัพ (ดังปรากฏบทบาทและตัวตนของบุคคลรวมทั้งองค์กรต่างๆหลากหลายวิชาชีพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา) ร่วมกันสืบทอดอำนาจปกครองโดยอาศัยรัฐธรรมนูญ 2550 และกฎหมายอื่นทั้งที่มีอยู่แล้วและที่บัญญัติขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะสำหรับการสืบทอดอำนาจภายในเครือข่ายคณะรัฐประหาร(รวมทั้งการกำจัดปรปักษ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย)
วิธีการหวนคืนสู่ระบอบคณาธิปไตยและสืบทอดอำนาจการเมืองการปกครองของเครือข่ายคณะรัฐประหาร 2549 กระทำเป็นกระบวนวิธีมีลำดับขั้นตอน โดย
1.1 ยึดอำนาจการเมืองด้วยกำลัง วันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 แต่ภายหลังได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตนเอง
1.2 จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหาร
1.3 มอบหมายให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารเขียนบทบัญญัติทางกฎหมายกำหนดขั้นตอน ซ่อนวิธีสืบทอดอำนาจ และการควบคุมการเมืองการปกครองในรัฐสภาโดยใช้กฎหมายหรือนิติวิธี สืบเนื่องต่อจากช่วงเวลาที่ต้องการควบคุมด้วยกำลังอาวุธ (ได้แก่ บทบัญญัติว่าด้วยวุฒิสภา บทบัญญัติว่าด้วยการสรรหาองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และบทเฉพาะกาลเป็นสำคัญ)
ท่ามกลางความสำเร็จดังกล่าว เครือข่ายรัฐประหาร 2549 ประสบความล้มเหลวในเบื้องต้น (ทั้งๆที่ใช้ทุนสาธารณะของประชาชนไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งออกคำสั่งบังคับให้บุคลากรของกองทัพเป็นเครื่องมือสนับสนุนความพยายามของตน) คือความล้มเหลวของเครือข่ายรัฐประหารในการขัดขวางไม่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกพรรคพลังประชาชน (พรรคการเมืองที่เอกสารทางทหารของคณะรัฐประหารระบุว่าเป็น “กลุ่มอำนาจเก่า” สืบแทนพรรคไทยรักไทย) เป็นผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม 2550 และความล้มเหลวต่อเนื่องที่ไม่สามารถขัดขวางพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศได้สำเร็จเมื่อต้นปี 2551
จากนั้นตลอดปี 2551 เครือข่ายคณะรัฐประหารจึงตกอยู่ในสภาพ “แบ่งงานกันทำ” (และประสานงานกันบางส่วน) ในการขัดขวางสร้างอุปสรรคไม่ให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนบริหารประเทศได้โดยสะดวก เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ชื่อจัดตั้งตนเองไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์จริง) ใช้กำลังบุกทำลายทรัพย์สินของสถานีโทรทัศน์ของรัฐในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล บุกยึดสนามบิน ผู้นำกองทัพและข้าราชการประจำที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากกลุ่มผู้ใช้กำลังและอาวุธกระทำการอันมีผลกระทบต่อความมั่งคงของรัฐและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศดังกล่าว ตอบสนองคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคพลังประชาชนด้วยการอิดเอื้อนรีรอ รวมทั้งบางส่วนแสดงท่าทีสนับสนุนแกนนำพันธมิตรฯและแถลงคล้อยตามการอ้างสิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ 2550 รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญดำเนินงานประสานกันนำไปสู่การทำคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนพ้นจากตำแหน่งต้นเดือนธันวาคม 2551
พรรคประชาธิปัตย์ประสบความสำเร็จในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2551 โดยมีนายทหารจากเครือข่ายแกนนำกองทัพประสานงานสนับสนุนร่วมกับนักการเมืองย้ายพรรคจำนวนหนึ่ง ท่ามกลางสภาพปัญหาความขัดแย้งต่อเนื่องมาเป็นเวลามากกว่า 1ปี ดำรงตำแหน่งท่ามกลางความขัดแย้งยาวนานกว่าพรรคพลังประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับเครืองข่ายคณะรัฐประหาร
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ได้รับ “การรับรอง” ความเหมาะสมจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็มักปรากฎกายแถลงความเห็นทางการเมืองและเรื่องหลักการทั่วไป (คล้ายวิธีแสดงความคิดเห็นเชิงหลักการของนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) ต่อสื่อมวลชน โดยมีนายทหารระดับแกนนำกองทัพ รวมทั้งแกนนำคณะรัฐประหาร 2549 เช่น พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา แวดล้อมในขณะแถลงความเห็นผ่านสื่อมวลชน ดังนั้นสาธารณชนไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงเกิด “ความกระจ่างชัด” ขึ้นตามลำดับว่าความร่วมมือทางการเมืองระหว่างอดีตผู้นำกองทัพ ผู้นำกองทัพในปัจจุบัน และพรรคประชาธิปัตย์(รวมทั้งคนอื่นๆที่ปรากฏตัวตนเข้าร่วมสนับสนุนเครือข่ายรัฐประหาร 2549 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา) เป็นความร่วมมือกันของเครือข่ายบุคคลในกลุ่มหรือฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับนักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (นักการเมืองที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นแกนนำ)
ความกระจ่างชัดดังกล่าวได้พัฒนาเกินเลยจุดที่บรรดาผู้นำเครือข่ายรัฐประหารทั้งในและนอกกองทัพ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์สามารถจะปกปิดหรือกลบเกลื่อนความร่วมมือทางการเมืองระหว่างกันต่อไปได้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อต่อสาธารณชนวงกว้าง (ตัวอย่างเช่น คำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้โน้มน้าวประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งว่าพรรคของตนเป็นพรรคการเมืองที่ “ต่อสู้เผด็จการ” จะมีคนเชื่อถือน้อยลงตามลำดับ คำแถลงส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีบางท่านที่พยายามฟื้นฟูความน่าเชื่อถือทางการเมืองให้พลเอกเปรมผู้ก้าวล่วงเข้าไปเป็น “ฝ่าย” ทางการเมืองในความขัดแย้งดังกล่าว เช่น คำแถลงว่า “องคมนตรีเป็นกลาง” จะมีสาธารณชนจำนวนมากรับรู้เพียงว่าหลักการต้องเป็นกลางแต่ทางปฏิบัติไม่เป็นจริงเช่นนั้น) ความกระจ่างชัดดังกล่าวเป็นผลกระทบลูกโซ่ที่เกิดขึ้นจากการกระทำต่างๆของแกนนำเครือข่ายรัฐประหาร โดยเครือข่ายรัฐประหารดังกล่าวไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นแต่ขัดขวางมิให้เกิดขึ้นไม่ได้
นอกเหนือจากความสำเร็จในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และการดำรงตำแหน่งท่ามกลางความขัดแย้งและการปฏิเสธของประชาชนวงกว้าง รวมทั้งประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่เป็นเสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 มาเป็นเวลายาวนานถึง 1 ปี รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายผลประโยชน์ทางการเมืองประสบความสำเร็จในการเสนอญัตติให้รัฐสภาอนุมัติกฎหมายเงินกู้สาธารณะ 2 ฉบับ วงเงินรวมทั้งสิ้น 8 แสนล้านบาท สาระสำคัญเป็นการออกกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลในการกู้เงินดังกล่าวมาใช้จ่ายตามโครงการและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลและเครือข่าย แต่ผลักภาระหนี้สินเป็นของประชาชน
ในต้นปี 2553 มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะโฆษณาชวนเชื่อด้วย “ข่าวสารด้านเดียว” ว่าผลการบริหารของตนทำให้เศรษฐกิจเริ่ม “กระเตื้องขึ้น” ในช่วงไตรมาสท้ายของปี 2552 โดยใช้ตัวเลขเปรียบเทียบกับระดับจีดีพีไตรมาสท้ายของปี 2551 (ช่วงปลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชนซึ่งเศรษฐกิจชะงักงันอย่างรุนแรง จากผลของการถูกก่อกวนทางการเมืองตลอดปี รวมทั้งการใช้กำลังบุกยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิโดยกลุ่มพันธมิตรฯ) แต่ก็มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกันว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อาจพ้นจากตำแหน่งไปภายในปี 2553 เนื่องจากการดำรงตำแหน่งต่อไปนอกจากจะไม่สามารถใช้อำนาจบริหารที่มีอยู่ตอบสนองผลประโยชน์ของเครือข่ายรัฐประหารเพิ่มขึ้นมากนัก แล้วยังจะปรากฏ “ผลย้อนกลับทางการเมือง” ที่เป็นโทษมากขึ้นตามลำดับ ทั้งต่อสถานะทางการเมืองระยะยาวของพรรคประชาธิปัตย์เอง และต่อสถานะของบุคคลและองค์กรในเครือข่ายรัฐประหาร ผลย้อนกลับที่เป็นโทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในเครือข่ายผลประโยชน์คณะรัฐประหาร รวมทั้งต่อนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์บางคนเป็นโทษทางอาญา ซึ่งในอนาคตอาจไม่สามารถอ้างมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นเหตุให้พ้นผิดได้
2. ทางตันของคณะรัฐประหาร 2549 และการต่อต้านรัฐประหารครั้งใหม่
ในปี 2553 เครือข่ายรัฐประหารและพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเผชิญกับสภาพปัญหาความขัดแย้งและการต่อสู้อย่างไม่ลดราวาศอกจากขบวนการภาคประชาชนเครือข่าย “นปช.” ที่มีแนวร่วมมวลชนทั่วประเทศสนับสนุน เครือข่ายรัฐประหารที่หนุนหลังการจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งถูกแนวร่วมประชาชนผลักดันให้ตกอยู่ในสภาพ “ทางตัน” ที่แม้ว่าจะสามารถใช้กลไกรัฐสภาและอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการตามรัฐธรรมนูญ 2550 รวมทั้งพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเป็นประโยชน์ในการดิ้นรนสืบทอดอำนาจให้พรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศตามต้องการ ทั้งยังไม่สามารถดำเนินกระบวนการวิธีจัดสรรปันส่วนผลประโยชน์(จากมาตรการเพิ่มภาษีและเงินกู้ภาครัฐ)เพิ่มเติมมากนัก นอกเหนือไปจากการคิดหาเทคนิคและความพยายามแนวทางใหม่ๆเพื่อใช้เงินกองทุนสาธารณะอื่นๆรวมทั้งทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในธนาคารแห่งประเทศไทย
การเผชิญหน้าท้าทายกับมวลชน นปช. ที่มีกลยุทธ์ยืดหยุ่นพลิกแพลงตอบโต้มาตรการของรัฐในการควบคุมหรือขัดขวางการชุมนุมของประชาชนได้ตลอดเวลา(ทั้งในปี 2552 และ 2553) จะยิ่งทำให้มาตรการต่างๆของเครือข่ายรัฐประหารและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อ่อนล้าประสิทธิภาพลงยิ่งกว่าสภาพในปี 2552
แม้ว่าจะมีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 หนุนหลังรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจ แต่การต่อสู้และความขัดแย้งต่อเนื่องทางการเมืองที่ผ่านมาทำให้เห็นว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งบุคลากรของกองทัพในเครือข่ายรัฐประหาร ไม่สามารถกำจัด ควบคุม หรือปราบปรามแนวร่วมประชาชนเครือข่ายนปช. แม้จะได้ใช้ความพยายามแสนสาหัสตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (แม้แต่การขัดขวางไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับออกไปนอกประเทศอีกครั้งในปี 2551 โดยพยายามใช้อำนาจตุลาการขณะที่พรรคพลังประชาชนยังเป็นแกนนำรัฐบาล แต่กลุ่มอำนาจในเครือข่าย “ตุลาการภิวัฒน์” ที่เป็นปฏิปักษ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ก็ขัดขวางการเดินทางออกนอกประเทศครั้งดังกล่าวไม่สำเร็จ)
การดำรงอยู่ของความขัดแย้งและความสามารถในการยืนหยัดของแนวร่วมประชาชนทั่วประเทศ ในการท้าทายอำนาจบริหารของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2552 รวมทั้งการประกาศยกระดับการท้าทายทางการเมืองเพิ่มขึ้นในปี 2553 มีน้ำหนักเป็นข้อยืนยันที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับว่าคณะรัฐประหารและเครือข่ายผู้สืบทอดอำนาจไม่สามารถ “กำราบ” ประชาชนให้ “นิ่ง” ทางการเมืองตามต้องการเพื่อความสะดวกของเครือข่ายรัฐประหารดังกล่าวในการครอบครองอำนาจและจัดสรรผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นในปี 2553 จึงมีผู้คาดการณ์กันมากขึ้นว่าอาจเกิดการยึดอำนาจด้วยกำลังกองทัพอีกครั้งในฐานะที่เป็นวิธี “กำราบ” ขั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
การที่ผู้บัญชาการทหารบก(พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา) ออกตัวทางการเมืองอีกครั้งในช่วงปลายปี 2552 โดยแถลงต่อสาธารณชนให้ “ลืม” เรื่องการก่อรัฐประหารและการนองเลือดในปี 2552 แทนที่จะช่วยให้สาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนเสื้อแดง” ลืม แต่กลับเกิดความตื่นตัว ระมัดระวัง และเตรียมการกับความพยายามของผู้นำกองทัพในการยึดอำนาจครั้งใหม่มากขึ้น โดยมีตัวอย่างการรัฐประหาร 2549 ที่เรียกกันในแวดวงสื่อมวลชนว่า “รัฐประหารทีเผลอ” เป็นบทเรียน
การปรากฏตัวของผู้นำกองทัพ ข้าราชการประจำระดับสูง และผู้นำวงการตุลาการจำนวนหนึ่งที่เข้าร่วมอวยพรปีใหม่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในช่วงปลายปี 2552 หากพิจารณาให้ละเอียดรอบด้านจะเห็นว่า “แนวร่วม” ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีเพียงกลุ่มคนในแวดวงจำกัดเพียงใด และยังอาจเห็นได้ชัดเจนขึ้นด้วยว่ากลุ่มคนหลากหลายอาชีพของสังคมไทยปัจจุบัน รวมทั้งอดีตผู้นำในกองทัพ (แม้ว่าในอดีตจะเคยปรากฏตัว “เคียงข้าง” พลเอกเปรม) กำลังแสดงการปฏิเสธ รวมทั้งอยู่ระหว่างการชั่งน้ำหนักทางการเมืองเนื่องจากไม่แน่ใจในศักยภาพของการทำรัฐประหารอีกต่อไป
หากมีความพยายามยึดอำนาจโดยผู้นำกองทัพในปี 2553 (สภาพ “ทางตัน” ของเครือข่ายรัฐประหาร รวมทั้งแรงกดดันทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกรัฐสภาให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาบังคับใช้แทนรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มน้ำหนักการตัดสินใจยึดอำนาจ) การพยายามใช้กำลังยึดอำนาจดังกล่าวจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ขณะที่เครือข่ายมวลชนนปช.ทั่วประเทศในปัจจุบัน (และกลุ่มพลังเงียบประเมินจำนวนมิได้) มีศักยภาพการรวมตัว การชุมนุม และการต่อต้านกองกำลังทหารที่กระทำผิดทั้งทางอาญาและทางการเมืองอย่าง “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” และถูกต้องตามกฎหมายในฐานะประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกันตามรัฐธรรมนูญ
ในกรณีหากมีความพยายามยึดอำนาจโดยผู้นำกองทัพดังกล่าว สภาวะ “การเมืองนองเลือด” จะเกิดขึ้นได้ต่อไป โดยเป็นไปได้ทั้งสภาวะการเมืองนองเลือดแบบ “กรณี 14 ตุลาคม 2516 หรืออาจเป็นกรณี 6 ตุลาคม 2519” (ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการกรณี 14 ตุลาคม 2516 ขณะที่ฝ่ายคณาธิปไตยต้องการกรณี 6 ตุลาคม 2519) จนถึงปลายเดือนธันวาคม 2552 สาธารณชนยังไม่เห็นรูปธรรมของการตกลงเจรจาคลี่คลายความขัดแย้ง การตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ที่มีวุฒิสภาเป็นแกนหลักผลักดัน โดยพยายามเบี่ยงเบนไปเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพียง 2-6 มาตรา เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารงานของรัฐบาลและเพื่อลดต้นทุนการหาเสียงแบบแบ่งเขตของพรรคการเมืองในอนาคต ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเด่นในช่วงปี 2552 ไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งที่ระดับโครงสร้างของปัญหา แต่ยิ่งจะนำไปสู่การสะสมความขัดแย้งแบบเก็บกดระหว่างสองฝ่ายมากขึ้น พัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับความพยายามคลี่คลายความขัดแย้งด้วย “การเจรจา” เท่าที่ปรากฏร่องรอยให้วิเคราะห์สรุปได้คือ ฝ่ายประชาธิปไตยเสนอการยุติความเคลื่อนไหวในเครือข่ายมวลชนของตน หากมีการดำเนิการให้เป็นผลใน 3 เรื่อง ได้แก่
(1) การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาบังคับใช้
(2) นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา
(3) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปด้วยความยุติธรรมและเคารพกติกาประชาธิปไตย
ขณะที่ฝ่ายคณาธิปไตยไม่เสนอว่าตนจะยินยอมถอนตัวออกจากอำนาจควบคุมทางการเมืองอย่างไร แต่ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ข้อเสนอการเจรจาดังกล่าว (ผ่านการสนทนาระหว่างพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กับผู้สื่อข่าว การให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ว่าต้องการให้อีกฝ่ายยุติการขัดขวางการทำงานของรัฐมนตรีที่เดินทางไปในพื้นที่ ต้องการให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุติการเคลื่อนไหวและกลับมารับโทษจำคุกในประเทศไทย และไม่ต้องการยกเลิกการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2550
ดังนั้น สภาวะการเมืองในปี 2553 จึงยังไม่ปรากฏรูปธรมของ “การสมานฉันท์” เกิดขึ้นให้สังเกตเห็นได้จากข่าวสารข้อมูลที่สาธารณชนรับรู้ เนื่องจากแต่ละฝ่ายที่ขัดแย้งยังมีความต้องการสวนทางกัน คือฝ่ายหนึ่งต้องการให้ “ระบอบอำมาตย์” ถอนตัวออกไปจากการควบคุมอำนาจการเมืองไทย ขณะที่อีกฝ่ายแสดงเจตนาสืบทอดอำนาจการปกครองโดยต้องการให้ประชาชนและกลุ่มพลังการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน “ยอมรับ” การสืบทอดอำนาจการปกครองดังกล่าว สภาวะการเมืองไทย พ.ศ.2553 จะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสภาพพื้นฐานข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่ายังมีความต่อเนื่องของความขัดแย้งจากภูมิหลังปัญหาข้างต้น
3. สถานะของประเทศในอาเซียนและประชาคมโลก
ตลอดเวลากว่า 3 ปีนับตั้งแต่คณะผู้นำกองทัพตัดสินใจก่อการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สถานะทางการทูต การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศไทยได้พัฒนาถดถอยตกต่ำลงตามลำดับ รูปธรรมการถดถอยโดยรวม ได้แก่ การที่รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศเครือข่าย “ประเทศประชาธิปไตยนานาชาติ” ในปี 2550 รัฐบาลพรรคพลังประชาชนต้องตัดสินใจเลื่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในปี 2551 เนื่องจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวแบบใช้กำลังโดยแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยาในเดือนเมษายน 2552 แต่ต้องยุติการประชุมตั้งแต่ช่วงวันแรก ท่ามกลางความเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงโดยมวลชนนปช. รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและนายกรัฐมนตรีเกิดประเด็นการโต้เถียงที่มิใช่การเจรจาทางการทูต แต่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 14 ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคม 2552 และภายหลังการประชุมโดยมีสื่อมวลชนนานาชาติรับรู้และรายงานข่าวไปทั่วโลก ทั้งนี้นอกเหนือไปจากความถดถอยทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ย้ำว่ามาจากสาเหตุเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยละเว้นที่จะแถลงรายละเอียดผลกระทบจากความถดถอยที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมหรือถูกซ้ำเติมจากการก่อความวุ่นวายทางการเมืองโดยเครือข่ายผู้ต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนตลอดปี 2551 เช่น การสูญเสียรายได้เงินตราต่างประเทศจากนักท่องเที่ยว ที่ตัดสินใจยกเลิกหรืองดเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงที่เกิดความวุ่นวาย เป็นต้น
การฟื้นฟูสถานะและความน่าเชื่อถือของอำนาจรัฐไทยภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในทางการทูต การเมือง และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จะเป็นภาระงานที่ยากจะประสบความสำเร็จคืบหน้ามากนักในปี 2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากเกิด “กรณีปัญหามาบตาพุด” ที่ทำให้ระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ(โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น)ลดลง ทั้งในประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นในการเป็นประเทศเศรษฐกิจเสรีตามกติกาสากลและความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมในศาลไทย
สภาวะความตกต่ำถดถอยในสถานะของประเทศที่สะสมเป็น “ทุนติดลบ” พอกพูนตามลำดับตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร 2549 เป็นส่วนหนึ่งของ “ปัจจัยต้านทาน” การตัดสินใจก่อการยึดอำนาจครั้งใหม่ เนื่องคณะผู้วางแผนหรือคิดเตรียมการยึดอำนาจครั้งใหม่ประเมินได้ว่า แม้กลุ่มตนอาจประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งใหม่ แต่โอกาสในการแสวงหา “ส่วนต่างผลประโยชน์แห่งชาติ” รวมทั้งปริมาณส่วนต่างผลประโยชน์ที่กลุ่มตนจะแสวงหาได้โดยใช้อำนาจภายหลังยึดอำนาจ จะยิ่งจำกัดแคบลงยิ่งกว่าสภาพการณ์ในปี 2550 และปี 2552 ความพยายามเชื้อเชิญนักลงทุนจากต่างประเทศให้กลับเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างหรือเพิ่มพูน “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ให้รัฐบาลไทยใช้บริโภค จัดสรร และดำเนินการต่างๆทางเศรษฐกิจการเมืองภายหลังการยึดอำนาจครั้งใหม่ จะเป็นความพยายามที่แกนนำคณะรัฐประหารเองไม่มั่นใจในผลสัมฤทธิ์ทางปฏิบัติ แม้ว่าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในเครือข่ายคณะรัฐประหารจะยืนยันว่าระบบเศรษฐกิจของไทยยังเข้มแข็งและ “น่าลงทุน” สำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศ
ตลอดปี 2552 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ถูก “ต้อน” ให้ตัดสินใจดำเนินการทางการเมืองที่สัมฤทธิ์ผลส่วนใหญ่เป็นการผลักดันทางการเมืองให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายรัฐประหารเคลื่อนเข้าสู่ “ทางตัน” ของกลุ่มตนตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินมาตรการภายในประเทศที่ไร้ผล เนื่องจาก นปช.สามารถพลิกแพลงยืดหยุ่นการนัดชุมนุมของตนได้ตลอดเวลา รวมทั้งมาตรการทางการเมืองระหว่าประเทศ เช่น การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตภายหลังเกิดกรณี “วิวาทะไทย-กัมพูชา 2552” ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับสมเด็จฮุนเซ็นในเดือนตุลาคม 2552
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2553 จะเผชิญกับสภาพปัญหาและ “ทางตัน” ที่ทำให้อาจไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อเนื่องไปได้ถึง “ปีกระต่าย”(พ.ศ.2554) ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อต้นปี 2553 ทั้งนี้แม้ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันอาจกำหนดเป้าหมายการดำรงตำแหน่งให้ครบวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน(อีกประมาณ 2 ปี)
4. พลังและอำนาจต่อรองของฝ่ายที่ขัดแย้ง
รายละเอียดข้อเท็จจากกระแสการเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย ท่ามกลางความต่อเนื่องของพลวัตรความขัดแย้งตลอดเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นชัดเจนขึ้นตามลำดับว่าแต่ละฝ่ายมี “จุดแข็ง” หรือความเข้มแข็งของ “ปัจจัยการต่อสู้” แตกต่างกัน
1.รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจหนุนหลังมีจุดแข็งอยู่ใน “กำลังอาวุธของกองทัพ” ที่บุคลากรในเครือข่ายอำนาจของตนสามารถครอบครองตำแหน่งบังคับบัญชาการสูงสุดอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่อีก “ “ฝ่าย” หนึ่ง(ประชาธิปไตย) มีปัจจัยเข้มแข็งสูงสุดอยู่ใน “แนวร่วมประชาชน” จำนวนมากมายยิ่งกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การต่อต้านอำนาจรัฐไทยทุกครั้งที่ผ่านมา(ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านโดยขบวนการที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด) ทั้งยังมีเครือข่ายประชาชนแบบ “หลายศูนย์กลาง” นอกเหนือไปจากศูนย์กลางแกนนำ นปช.ที่กรุงเทพฯ ยังมีศูนย์กลางแนวร่วมมวลชน นปช.ในต่างจังหวัด และศูนย์กลางแนวร่วมมวลชนที่ดำเนินงานเป็นเอกเทศ แต่ผูกพันเป้าหมายทางการเมืองคล้ายคลึงกันกับกลุ่มนปช.ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด (ข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวนี้เป็นที่เปิดเผยรับรู้อย่างเป็นสาธารณะมาก่อนแล้ว แต่บางกรณีถูกตีความคลาดเคลื่อน โดยสื่อมวลชนบางสำนักชี้ว่าเป็น “ความแตกแยก” ภายในกลุ่มคนเสื้อแดง ขณะที่บางกรณีอาจมีการจัดตั้งกลุ่มมวลชน เพื่อแอบแฝงหรือปะปนแทรกซึมสู่กระบวนการคนเสื้อแดงโดยยุทธวิธีที่หน่วยงานในสังกัด “รัฐเผด็จการทหาร” ในอดีต เช่น กอรมน.และสภาความมั่นคงแห่งชาติเคยใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองยุค “สงครามเย็น”)
สภาวะการก่อตัวเพิ่มพูนเครือข่ายมวลชนต่อต้านการรัฐประหารแบบ “หลายศูนย์กลาง” ที่ดำเนินต่อเนื่องได้ตลอดเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงปี 2551 ที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช สามารถหยัดยืนดำรงตำแหน่งบริหารเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านการรัฐประหาร) เป็น “จุดแข็ง” ที่ทำให้อีกฝ่ายประสบความยากลำบากในการบั่นทอนและยากต่อการใช้กำลังอาวุธเข้ากวาดล้างปราบปรามแบบเบ็ดเสร็จโดยอาศัยอำนาจรัฐที่ครองอยู่ แม้ว่าเครือข่ายคณะรัฐประหารและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกันจะเคยดำเนินการ “ยุทธการนำร่อง” ที่มุ่งหมายการฝึกปฏิบัติการด้วยวิธี “สนธิกำลังทหาร ตำรวจ” เข้าตรวจค้นจับกุมและจู่โจมศูนย์กลางวิทยุชุมชนของเครือข่ายมวลชนในจังหวัดภาคเหนือมากกว่า 1 ครั้งระหว่างปี 2552 แต่การประเมินผลเชิงยุทธการของการดำเนินปฏิบัติการทดสอบนำร่องดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผย
2.ระหว่างปี 2550-2552 การโฆษณาชวนเชื่อของเครือข่ายรัฐประหารว่าเป็นฝ่ายที่จงรักภักดีและทำงานรับใช้เบื้องสูง(ชาติ ศาสน์ กษัตริย์) ยังมีผลสัมฤทธิ์เป็นพลังเกื้อหนุนการสืบทอดอำนาจของเครือข่ายรัฐประหารและการจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่การอ้างสถานบันเบื้องสูงเป็น “เกราะกำบัง” เครือข่ายรัฐประหารและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2553 จะลดประสิทธิภาพลง โดยสาธารณชนวงกว้างมากขึ้นจะเริ่มขาดความเชื่อถือในการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวตามลำดับ ปรากฏการณ์เช่นนี้สังเกตเห็นได้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 ขณะเดียวกันกลุ่มมวลชนที่ปราศรัยปลุกระดมแนวทางการต่อสู้ “โค่นล้มระบอบอำมาตย์” ด้วยการโน้มน้าวความคิดให้ประชาชนเชื่อใน “ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอำมาตย์กับสถาบันกัตริย์” จะได้รับการสนับสนุนจากมวลชนน้อยลงตามลำดับเช่นกัน สภาวะดังกล่าวจะยิ่งทำให้เครือข่ายรัฐประหารและรัฐบาลผสมพรรคประชาธิปัตย์ (รวมทั้งพรรคภูมิใจไทยผู้เป็นเจ้าของนโยบายกลุ่มพลัง “เสื้อสีน้ำเงิน”)ประสบความยากลำบากมากขึ้นในการอ้างใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวมวลชนที่ปราศรัยอย่างเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์ในการกล่าวหาแกนนำนปช. และมวลชนคนเสื้อแดงในเครือข่ายนปช.ว่ามีจึดมุ่งหมายในการ “ล้มเจ้า” การโฆษณาชวนเชื่อแบบ “เอาดีใส่ตัว”ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจหนุนหลัง รวมทั้งกลุ่มผู้นำกองทัพที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเป็นผู้จงรักภักดี และการโฆษณาชวนเชื่อแบบ “เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แกนนำนปช. และมวลชนเสื้อแดงมีเจตนา “ล้มเจ้า” จะหย่อนประสิทธิภาพลงมากในปี 2553 ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องเป็นการลดทอนความเข้มแข็งในพลังของเครือข่ายรัฐประหารและผลักดันให้การเมืองไทยไปสู่ทางตันมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากจุดยืนผลประโยชน์ของเครือข่ายคณะรัฐประหาร
3.รัฐธรรมนูญ 2550 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอาจยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินมาตรการทางรัฐสภาของพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่ยังคงถูกใช้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในการสืบทอดอำนาจและต่อสู้กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในปี 2553 แต่รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการจัดการชุมนุมประชาชนและการใช้สิทธิทางการเมืองของแนวร่วมมวลชนนปช.แต่อย่างใด ดังนั้น รัฐธรรมนูญ 2550แม้ว่าจะสามารถถูกใช้เป็น “เครื่องมือสืบทอดอำนาจทางการเมือง” ให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำนาจหลังการรัฐประหารได้ในทางปฏิบัติ แต่รัฐธรรมนูญแบบคณาธิปไตยฉบับดังกล่าวก็ไม่สามารถจะเป็น “เครื่องมือต่อต้านการชุมนุม” ที่มวลชนนปช.จะดำเนินการต่อไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมวลชนนปช.จะคาดหวังหรือแม้แต่พยายามสร้างสถานการณ์ให้การจัดการชุมนุมประชาชนในเครือข่ายนปช. มีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ความผิดฐานเป็นกบฎตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดที่เกี่ยวพันกันตามมาตรา 114-118) แต่การเรียนรู้จากประสบการณ์และการศึกษาข้อกฎหมายภายในแวดวงแกนนำนปช. รวมทั้งการเผยแพร่เรียนรู้สู่มวลชนนปช.ตามโครงการ “โรงเรียนนปช.” ตลอดปี 2552 ที่ผ่านมา จะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการกระทำผิดดังกล่าวหรือช่วยลดความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากการแทรกแซงที่ควบคุมได้ยากในการดำเนินกระบวนการมวลชนประชาธิปไตย
การเมืองไทยในปี พ.ศ.2553 ไม่ใช่ “การเมืองที่ดี” ในทัศนะ จุดยืน ผลประโยชน์ของเครือข่ายระบอบคณาธิปไตย แต่จะเป็น “การเมืองที่ปั่นป่วนวุ่นวาย” ซึ่งเครือข่ายรัฐประหาร 2549 พรรคประชาธิปัตย์ และเครือข่ายอำนาจการเมืองหลังการรัฐประหาร 2549 รวมทั้งสำนักโพลที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งพยายามเรียกร้องให้ประชาชนยุติการเคลื่อนไหว ******************************
บรรยายในการสัมมนาหัวข้อ “การเมืองไทย 2553 : ทางตันของคณะรัฐประหารและรัฐบาลประชาธิปัตย์”
จัดโดยผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย รุ่น 1-3 มูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ถนนนครสวรรค์ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
มากกว่าสิบปี ประชาชนมีความหมายเฉพาะก่อนเลือกตั้ง หลังจากนั้นผู้ได้รับการเลือกตั้งกลายสถานะเป็นนายที่ประชาชนต้องง้อ เกรงใจ สิบปีมานี้ ประชาชนตื่นตัว รูสิทธิของตนในบ้านเมือง เมื่อถูกริดรอนสิทธิ์ จึงรวมตัวกันเรียกร้อง กลับถูกสะกัดกั้นจนต้องเสียชีวิต แต่ประชาชนไม่ย่อท้อ โดยเฉพาะกลุ่มมวลชนเสื้อแดง ยิ่งล้มตายยิ่งเพิ่มจำนวนพลังมากขึ้น เราต้องชนะในเวลาอันไกล้นี้ ไม่ต้องรอเมตตาจากสวรรค์ชั้นฟ้า หัวใจที่แร่งกล้า สติปัญญาที่แยบยลของพวกเรานี่แหละจะนำสู่ความสำเร็จดังหวัง
ReplyDelete