Monday, November 22, 2010

ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง

แนวความคิดทางการเมืองที่ใช้อ้างกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนา คือ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า การทำให้ทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) บางท่านก็ใช้ปนเปกันทั้งสองคำ มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองนั้น ก็เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ มากมาย เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธุ์หรือกลุ่มการเมืองต่าง ๆ การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร

ปรากฏการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่าง ๆ ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ นักเศรษฐศาสตร์ก็มองการไร้เสถียรภาพต่าง ๆ ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สังคมประสบปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้ ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่าเกิดจากปัญหาหลัก คือ ปัญหาเศรษฐกิจ

นักการศึกษาก็มองดูการล้มเหลวของการปกครองแบบประชาธิปไตยว่า มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการเมืองการปกครองแบบอารยะได้
นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า เกิดจากโครงสร้างทางสังคม ช่องว่างระหว่างความรวยความจน โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ ฯลฯ

นักรัฐศาสตร์นั้น ถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่า มีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่สะดวกใจ เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การใช้หลักการถ่วงดุลยอำนาจ การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่าง ๆ แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฏการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง ซึ่งเข้าใจว่าศัพท์คำว่า การพัฒนาการเมือง นี้ คงเลียนแบบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การใช้ศัพท์ดังกล่าวก็ตามมาด้วยคำถามว่า การพัฒนาการเมืองคืออะไร ซึ่งนักรัฐศาสตร์ในแขนงพฤติกรรมศาสตร์ต่างก็ตอบไปตามความถนัด ความเชื่อและความเข้าใจของตน บางคนก็พยายามแยกระหว่างคำว่า การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมือง จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมาย ซึ่งจะกล่าวต่อไป

นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้เริ่มพูดถึงการพัฒนาการเมืองหรือทฤษฎีพัฒนาการเมือง ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1960 โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเมืองของประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก และเพิ่งจะได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นประเทศในโลกที่สาม คือ The Politics of the Developing Areas โดยมี Gabriel A. Almond และ James S. Coleman เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยทฤษฎีหยิบยืมมาจากสำนักโครงสร้างและหน้าที่ (Structural functional Approach) ของมนุษย์วิทยา จากนั้นก็มีตัวอย่างการเมืองของภาคต่าง ๆ ในโลก เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เอเซียใต้ ลาตินอเมริกัน ฯลฯ โดยใช้กรอบวิเคราะห์ (Analytical Frame Work) อันเดียวกัน เจตนาก็เพื่อจะเปรียบเทียบโดยใช้กรอบวิเคราะห์หรือกรอบทฤษฎีเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับรูปแบบ เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม ฯลฯ อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีการพัฒนาการเมือง เพียงแต่พยายามวิเคราะห์ศึกษาการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาโดยเลี่ยงการใช้รูปแบบการเมืองในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวการศึกษาที่นิยมทำกัน โดยใช้หลักประเทศประชาธิปไตยตะวันตก เป็นหลักในการเปรียบเทียบ
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่บุกเบิกเกี่ยวกับการเมืองประเทศกำลังพัฒนา และการเน้นการศึกษาแบบทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่และแนววิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ ต่อมาได้มีการออกหนังสือทำนองนี้ออกมาเป็นชุด โดยมีบรรณาธิการสามคน คือ Gabriel Almond, James S. Coleman และ Lucian Pye ใน Little, Brown Series in comparative Politics ซึ่งมีจุดเน้นต่าง ๆ เช่น the Civic Culture, Politics and communication, Aspects of Political Development, Comparative Politics : A Developmental Approach etc.
ซึ่งหนังสือที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการพยายามวิเคราะห์การเมืองแบบมองที่โครงสร้างและหน้าที่โดยดูการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของระบบการเมือง ในลักษณะ Comparative Politics หรือการเปรียบเทียบระบบการเมืองต่าง ๆ ของประเทศกำลังพัฒนา โดยไม่ติดที่รูปแบบ แต่ที่มีการพูดถึงแนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง ก็คือหนังสือของ Lucian Pye ชื่อ Aspects of Political Development ซึ่ง Pye ได้พยายามสรุปแนวความคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองซึ่งมีอยู่ 10 แนวความคิด (ซึ่งได้เก็บความตามที่จะกล่าวข้างล่างนี้) โดยการสังเคราะห์และออกมาในรูปของ Development Syndrome หรือพหุภาพแห่งการพัฒนา
แนวความคิดต่าง ๆ 10 แนวคิด และพหุภาพแห่งการพัฒนามีดังนี้คือ

1. การพัฒนาการเมือง คือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Political Development as the Political Prerequisit of Economic Development) เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี เมื่อมาใช้ในการวิจัย คำจำกัดความการพัฒนาการเมืองดังกล่าวมีลักษณะในทางลบ เพราะว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดอย่างชัดแจ้งว่า ระบบการเมืองได้ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง แต่เป็นการยากที่จะพูดว่า ระบบการเมืองได้ช่วยให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไร เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น ความเจริญทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในระบบการเมืองหลายระบบและด้วยนโยบายที่ต่างกัน อันนี้นำไปสู่การคัดค้านต่อคำจำกัดความพัฒนาการเมืองดังกล่าว เนื่องจากว่า คำจำกัดความนั้นไม่ได้มีทฤษฎีร่วมกันเพราะในบางกรณีจะมีความหมายเพียงว่า รัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนในสถานการณ์อื่นนั้นอาจจะเกี่ยวพันถึงการพิจารณาองค์การขั้นมูลฐานของรัฐและการปฏิบัติของสังคมทั้งมวล ดังนั้นปัญหาเรื่องการพัฒนาการเมืองจึงแตกต่างกันตามความแตกต่างกันทางปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
ความลำบากขั้นพื้นฐานอีกประการหนึ่งของคำจำกัดความพัฒนาการเมืองที่กล่าวมาเบื้องต้นจะปรากฏภาพชัดยิ่งขึ้น จากข้อเท็จจริงที่ว่า ความหวังของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในประเทศด้อยพัฒนามีลักษณะมืดมัว และในหลายประเทศความเจริญทางเศรษฐกิจ (โดยไม่จำต้องพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม) ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นในชั่วอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางการเมืองถึงขนาดที่เรียกว่า อาจจะควรถือว่ามีการพัฒนาการเมืองในสังคมเหล่านั้นตามคำจำกัดความอื่น ๆ
ประการสุดท้าย ยังมีการคัดค้านต่อไปว่า ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายประชาชนมีความกังวลมากไปกว่าเพียงความก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น กล่าวคือ ประเทศเหล่านี้คำนึงถึงการพัฒนาการเมืองโดยอาจจะไม่คำนึงผลการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ความพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาการเมืองกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะเป็นการมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างอื่นในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้

2. การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม (Political Development as the Politics Typical of Industrial Societies) คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็นนามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ข้อสันนิษฐานก็ถือว่า ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมนั้นจะนำไปสู่ชีวิตทางการเมืองแบบหนึ่งตามความหมายนี้ สังคมอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม มีมาตรฐานพฤติกรรมทางการเมืองและการปฏิบัติซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนาการเมืองและเป็นจุดมุ่งหมายบั้นปลายของการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
ดังนั้น คุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่ “มีเหตุผลและรับผิดชอบ” กล่าวคือ มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่สำคัญในสังคม มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย คือ การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง

3. การพัฒนาการเมือง คือ ความจำเริญทางการเมือง (Political Development as Political Modernization) ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม และคนจำนวนมากคาดหวังว่า ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่า การคัดค้านนี้เป็นสิ่งที่น่ารับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ความเชื่อดังกล่าวนั้นเป็นแฟชั่นประจำสมัย อย่างไรก็ตามความจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก คือ ประเพณีและปทัสถานทางสังคม ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกและซึ่งคนทั่ว ๆ ไป รู้สึกว่า ควรที่สังคมที่มีความเคารพตัวเองจะรับประเพณีและปทัสถานนี้มาตรฐานดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรมและเกิดจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และในปัจจุบันมาตรฐานเหล่านี้ได้คงอยู่ตัวแล้ว ตัวอย่างเช่น การมีส่วนร่วมในทางการเมืองเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง ในทางสังคมวิทยาและชีวิตในสังคมอุตสาหกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ถูกถือว่าเป็นสิทธิอันเด็ดขาด ในความเห็นของโลกปัจจุบันนอกจากนี้หลักการอื่น ๆ เช่น การเรียกร้องให้มีกฎหมายที่ใช้เป็นหลักสากล การเคารพในความสามารถยิ่งกว่าชาติกำเนิด และความคิดทั่วไปเกี่ยวกับความยุติธรรมและสิทธิของประชาชนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสิ่งซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมใด ๆ และกลายเป็นมาตรฐานสากลของชีวิตการเมืองยุคใหม่

คำถามที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ อะไรคือรูปแบบ และอะไรคือเนื้อหาของคำจำกัดความการพัฒนาการเมือง การทดสอบการพัฒนาอยู่ที่ประเทศสามารถจะมีสิ่งซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมแบบใหม่ เช่น พรรคการเมือง การปกครองและสภานิติบัญญัติที่มีเหตุผลและเพื่อประชาชน เช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเหนือกว่าในเชื้อชาติก็จะเป็นสิ่งซึ่งตรงประเด็นในเรื่องนี้ เพราะว่าสถาบันเหล่านี้มีลักษณะเป็นสถาบันของประเทศตะวันตก ถ้าในทางตรงกันข้าม ความสำคัญอยู่ที่การกระทำหน้าที่อันสำคัญของระบบการเมือง ก็จะเกิดอีกอันหนึ่งเพราะระบบการเมืองต่าง ๆ นั้นในทางประวัติศาสตร์ได้กระทำหน้าที่อันสำคัญที่คล้ายคลึงกับสถาบันใหม่หรือสถาบันตะวันตก (ซึ่งจะเป็นรูปใดก็ตาม) ดังนั้น อะไรจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า อันไหนพัฒนากว่า ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาการเมือง เมื่อให้คำจำกัดความว่า คือ การจำเริญทางการเมืองนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องการแยกแยะว่าอะไรเป็นของตะวันตกและอะไรเป็นของสมัยใหม่ ถ้าจะพยายามหาความแตกต่างดังกล่าวก็คงต้องใช้ข้อพิจารณาอื่น ๆ มาประกอบ

4. การพัฒนาการเมือง คือ ระบบการเกิดรัฐชาติ (Political Development as the Operation of a Nation – State) ความคิดอันนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า การพัฒนาการเมืองนั้นเกิดจากการจัดตั้งของชีวิตทางการเมืองและการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองที่คล้องจองกับมาตรฐานของรัฐบาลในยุคใหม่ ในความเห็นนี้มีข้อสันนิษฐานว่า จากประวัติศาสตร์มีระบบการเมืองหลายระบบและทุกสั่งคมมีระบบการเมืองของตน แต่เมื่อเกิดรัฐชาติยุคใหม่ คุณลักษณะบางประการทางการเมืองของระบบรัฐชาติก็ตามมา ดังนั้น สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐยุคใหม่ สถาบันทางการเมืองของสังคมนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับคุณลักษณะเหล่านี้ การเมืองของจักรวรรดิของสังคมชนเผ่าและเชื้อชาติหรือของอาณานิคมจะต้องสลายตัวไปเพื่อกลายเป็นระบบการเมืองในรัฐชาติ ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลร่วมกับรัฐชาติอื่น ๆ

การพัฒนาการเมืองจึงกลายเป็นวิถีทางซึ่งสังคมที่เป็นรัฐชาติในรูปแบบและโดยความเอื้อเฟื้อของนานาชาติ ได้กลายเป็นรัฐชาติที่แท้จริง กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปคือความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมในระดับหนึ่ง ความสามารถที่จะใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ ดังนั้น การทดสอบการพัฒนาการเมืองก็กลายเป็น 1. การสร้างสถาบันทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างที่จำเป็นของรัฐชาติ 2. การแสดงออกที่อยู่ในขอบข่ายของชีวิตของการเมือง ในรูปแบบชาตินิยม กล่าวคือ การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองชองชาตินิยมในขอบข่ายของสถาบันแห่งรัฐ
มีข้อสำคัญที่จะต้องเน้นว่า จากความคิดดังกล่าว ความรู้สึกชาตินิยมเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการพัฒนาการเมือง การพัฒนานั้นคลุมไปถึงการถึงความรู้สึกเรื่องชาตินิยมซึ่งกระจัดกระจายไปสู่สปิริตความเป็นประชากรของชาติ และสำคัญเท่า ๆ กัน คือ การสร้างสถาบันแห่งรัฐที่สามารถจะแปรรูปความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึกเรื่องการเป็นประชาชนนอกเป็นรูปนโยบายและโครงการ กล่าวโดยย่อ การพัฒนาการเมืองคือการสร้างชาติ

5. การพัฒนาการเมือง คือ การพัฒนาการบริหารและกฎหมาย (Political Development as Administrative and Legal Development) ถ้าเราแยกการสร้างชาติออกเป็นการสร้างสถาบันและการพัฒนาความเป็นพลเมือง เราก็จะมีความคิดทางการพัฒนาการเมืองสองแนว ความจริงแล้ว ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองคือการสร้างองค์การมีประวัติมาช้านานซึ่งเป็นพื้นฐานที่ชาญฉลาดของระบบอาณานิคม เพราะว่าเราได้สังเกตเห็นแล้วในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกที่มีต่อโลก คือ ความเชื่อที่ว่าในการสร้างสังคมทางการเมืองนั้นก่อนอื่นจำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบทางกฎหมายและจากนั้นความเป็นระเบียบทางการบริหาร

ประเพณีดังกล่าวได้สนับสนุนทฤษฎีปัจจุบันที่ว่า การสร้างระบบองค์การธิปไตย (Bureaucracy) อย่างสัมฤทธิผลเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา ในความเห็นนี้ การพัฒนาการบริหารมีความเกี่ยวพันกับการมีเหตุผล การเสริมสร้างความคิดทางโลกธรรมและทางกฎหมาย และการมุ่งเข็มความรู้ความชำนาญทางเทคนิคไปสู่สังคมมนุษย์

แน่ล่ะ ไม่มีรัฐใดจะอ้างว่า “พัฒนา” ถ้าขาดความสามารถที่จะจัดการเรื่องสาธารณะอย่างได้ผล และเมื่อใดที่รัฐใหม่มีการบริหารที่ได้ผล ปัญหาต่าง ๆ ก็มักจะอยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้ ในทางตรงกันข้าม การบริหารแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ และความจริงแล้ว ถ้าหากมีการบริหารมากเกินไป อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในสังคมซึ่งอาจขัดต่อการพัฒนาทางการเมือง ความจริงเรื่องการพัฒนาการเมืองที่มุ่งที่เรื่องการบริหารนั้น มองข้ามปัญหากรฝึกฝนพลเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นแง่สำคัญของการพัฒนาการเมือง

6. การพัฒนาการเมืองคือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Development as Mass Mobilization and Participation) การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในประเทศอาณานิคมก่อน ๆ มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือลือล้นและมีความผูกพันต่อการเมือง

ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่

ตามความคิดเห็นส่วนมาก การพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยายนี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมีส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการมีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ

ดังนั้น ถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย

7. การพัฒนาการเมือง คือ การสร้างประชาธิปไตย (Political Development as the Building of Democracy) ความคิดอันนี้ คือ การพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติประชาธิปไตย แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตย
การมองการพัฒนาการเมืองว่า คือ ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์ ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะวิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัย

นอกจากนี้ เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ คนอเมริกันยังมีเหตุผล (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด) ที่จะเชื่อว่า จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ “พัฒนา” มากกว่าเรื่อง “ประชาธิปไตย” ข้อถกเถียงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน หรือตะวันตกมายัดใส่

8. การพัฒนาการเมืองคือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ (Political Development as Stability and Orderly Change) คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคม ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา อย่างไรก็ดี เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้

ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง เพราะว่า สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีเหตุผล ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ “พลัง” สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า ในสังคมใหม่นั้น บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม และแน่ละจุดเริ่มต้นของกรควบคุมพลังทางสังคม คือ การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้ ก็คือ ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึงประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้นกลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ ประการสุดท้าย ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญประการใดก็ตาม ยังเป็นรองต่อการที่จะทำให้สำเร็จ ดังนั้น การพัฒนาจึงต้องมองผลของการปฏิบัติ

9. การพัฒนาการเมือง คือ การระดมพลและอำนาจ (Political Development as Mobilization and Power) การยอมรับว่า ระบบการเมืองนั้นจะต้องมีความสามารถและประโยชน์ต่อสังคมนำไปสู่ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองคือความสามารถของระบบ เมื่อมีการเถียงว่า ประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ว่า เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ที่จะวัดความสามารถของระบบและขณะเดียวกันความคิดเรื่องประสิทธิภาพทำให้คิดว่า มีแบบแผนทางทฤษฎีหรืออุดมคติที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง

ความคิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่งระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้น สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่

การตระหนักด้วยว่า การกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ การพัฒนา คือ ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม ความสามารถที่จะระดมทรัพยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุนของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้ ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่ ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับสนุนจากประชาชน อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากว่า การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้

เมื่อการพัฒนาการเมือง คือ การระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถจะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้ และดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา ซึ่งได้แก่ จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์ การกระจายวิทยุ พื้นฐานทางภาษีของสังคม สัดส่วนประชากร ในรัฐบาลและส่วนอื่น การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม

10. การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Political Development as One aspect of a Multi – Dimensional Process of Social Change) ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการพัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึงศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา ในด้านอื่น ๆ ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้

1 comment:

  1. ผู้นำการพัฒนา ประชาธิปไตย
    จากมูลนิธิไทยรักไทยร้อยสิบเอ็ด
    รุ่นที่หนึ่งถึงสี่สรรค์สร้างสูตรสำเร็จ
    กลเม็ดเผด็จศึก อำมาตยามหามาร

    ติดอาวุธทางความคิดให้ปวงชน
    อุทิศตนทวงสิทธิ์สู้อย่างอาจหาญ
    ประชาธิปไตยที่กินได้ให้เบิกบาน
    อุดมการณ์สิทธิเสรีที่ชอบธรรม

    ชาวรากหญ้ากล้าแกร่งทุกแห่งหน
    มีมวลชนชาวเสื้อแดงร่วมอุปถัมภ์
    สัมมนาวิชาการงานกิจกรรม
    ของผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย

    เพื่อเพื่อนพ้องน้องพี่มีความคิด
    เรียกร้องสิทธิ์ประชาชนต้องเป็นใหญ่
    นิติรัฐนืติธรรมนำมาบริหารไทย
    เป็นประชาธิปไตยไล่อำมาตย์อำนาจเถื่อน

    ReplyDelete