Sunday, January 9, 2011

ข้อเสนอ 6 ข้อเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์ : อริน

รุ่งโรจน์ 'อริน' วรรณศูทร

มีคำถามที่ยังคงถูกถามในท่ามกลางการชุมนุมใหญ่น้อยของฝ่ายประชาธิปไตย และในเวทีเสวนา-สัมมนาย่อยเกือบจะทั่วทุกหัวระแหงในเวลานี้ รวมทั้งตามห้องสนทนาในเว็บไซต์-หัวข้อพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ตามเว็บบอร์ด-ใน จดหมายกลุ่ม และอื่นๆ จัดเป็นคำถามยอดนิยมข้ามปี นั่นคือ "เสื้อแดงจะชนะไหม? และชนะอย่างไร?" พอๆกับคำขวัญในการชุมนุมหรือธงนำสำหรับการชุมนุมใหญ่ ที่ว่า "ไม่ชนะ ไม่เลิก"

อันที่จริงคำถามที่น่าจะให้ความสำคัญมากกว่า 2 คำถามข้างต้น น่าจะเป็นคำถามที่ว่า "อย่างไรจึงเรียกว่าชนะ" เสียมากกว่า

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ในระหว่างช่วงรณรงค์ "แนวทางฎีกา" (ซึ่งผมเคยเสนอความเห็นไว้ใน ความคิดเห็นส่วนตัวกรณีขอนิรโทษกรรม ในเว็บบอร์ดนิวสกายไทยแลนด์ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 หลังการประกาศ ณ เวที นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2552) ผมเสนอความเห็นไว้ในบทความ "ผลักดัน 5 ล้าน 4 แสน เจตจำนงเสรี ไปสู่การสร้างชาติไทยใหม่"

เป็น ไปได้ไหม ที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะร่วมกันอีกครั้ง ระดมสรรพกำลังแสดงเจตจำนงในฐานะเสรีชน ขับเคลื่อนให้เกิดการยกระดับพัฒนาการทางการเมืองของปิตุภูมิไปสู่ความมี อารยะ ด้วยการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ ... สร้างขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม ออกมาสำแดงกำลัง รณรงค์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอำนาจอธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย สมบูรณ์ ด้วยการผลักดันให้สร้างรัฐธรรมนูญประชาชน ที่ประชาชนสามารถ "เลือกผู้นำฝ่ายบริหาร" หรือ "นายกรัฐมนตรี" ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่นนานาอารยะประเทศ และใช้การลงคะแนนเสียงในกระบวนการยุติธรรมด้วยระบบ "ลูกขุน" ที่อำนาจในการพิพากษาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ตกอยู่ใน "กำมือ" ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ผู้เดียว

จน เมื่อประมาณ 2 เดือนเศษที่ผ่านมา แนวความคิดเรื่องการสร้างชาติไทยใหม่ของผมก็ก่อรูปจนชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าใน เวลาที่ผ่านมาในการเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นับจากปี พ.ศ.2515 และในคืนวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมานี้เอง มีโอกาสเข้าร่วมวงพบปะเสวนากับมิตรสหายฝ่ายประชาธิปไตย กลุ่มไม่เล็กไม่ใหญ่นัก ผมจึงตัดสินใจเสนอ เป้าหมายรูปธรรมเบื้องต้น 6 ประการในการเสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งมีแนวคิดสังเขป (จำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้า ลึกลงไปในรายละเอียด ถึงความเป็นไปได้ และลำดับขั้น ในการผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงต่อไป) ดังต่อไปนี้

1. รัฐประชาธิปไตยที่แยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ส่วนอย่างเด็ดขาด บนหลักตรวจสอบและคานอำนาจ ในระบบ "งูกินหาง" หรืออธิบายแบบภาษารากหญ้า คือ "ข้าไล่เอ็ง เอ็งไล่มัน และมันไล่ข้า" ไม่ใช่แบบ "อำนาจอภิอธิปไตย" อันเรียกขานกันในรอบ 3 ปีมานี้ว่า "ตุลาการวิบัติ" และแทบจะดำรงคงอยู่ในลักษณะ "แตะต้องไม่ได้"

2. สิทธิของประชาชนในการเลือก "ประมุขฝ่ายบริหาร" หรือ "นายกรัฐมนตรี" โดยตรง และเป็นตำแหน่งที่อยู่บนหลักการที่ว่า ไม่สามารถดำเนินการอย่างอื่นในการถอดถอนได้ เว้นไว้เสียแต่ด้วยกระบวนการอันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในทำนองเดียวกับกระบวนการยื่นถอดถอน (impeachment) โดยสภาผู้แทนฯในสหรัฐอเมริกา และให้ "วุฒิสภา" กับ "ศาลฎีกา" ดำเนินการพิจารณาถอดถอนร่วมกัน

3. การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (ซึ่งเคยเสนอความคิดเห็นเบื้องต้น - ไม่ใช่ในฐานะนักกฎหมาย - ไว้ในบทความในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน ความเห็น 3 ประการเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม) โดยที่ผมเรียกร้องในประเด็นหลักถึง "ระบบกล่าวหา" ที่พิจารณาจาก "ผู้ต้องหาผิด จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์" ซึ่งเป็นกระบวนการยุติที่แทบไม่พบในอารยะประเทศและเป็นประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว; ประเด็นถัดมา คือความเป็นไปได้ของการนำ "ระบบลูกขุน" มาใช้ในประเทศไทย เพื่อนำมาใช้พิจารณาคดีที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการความเสมอภาคและหลักการเสรีภาพ ด้วยการ "ลงคะแนนเสียง" อย่างเป็น "ประชาธิปไตย"; ประเด็นถัดมา การรับรอง "ประมุขฝ่ายตุลาการ" ที่ผ่าน "สภาผู้แทนราษฎร"; และประเด็นสุดท้าย การนำ "ระบบศาลเดี่ยว" มาใช้ ซึ่งประกอบไปด้วย ศาลชั้นต้น ศาลชั้นกลาง คือ "ศาลอุทธรณ์" และศาลสูง คือ "ศาลฎีกา" ทั้งนี้หมายความว่า "ศาลอื่น" ไม่มีอำนาจในการพิพากษาอรรถคดี

4. องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ "ทั้งหมด" ต้องมาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ไม่จำกัดว่าจะเป็น "เลือกตั้งโดยตรง" หรือ "เลือกตั้งโดยอ้อม" ก็ได้ทั้งสิ้น แต่ต้องไม่ใช้กระบวนการ "แต่งตั้ง" หรือ "เลือกสรรเพื่อแต่งตั้ง" ซึ่งเป็นการผัดหน้าทาแป้งระบอบอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

5. โดยอาศัย "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม" ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 นั้น ปรากฏว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ปราศจาก "องคมนตรี" ทั้งนี้บทบัญญัติว่าด้วย "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ในรัฐธรรมนูญ 2475 บัญญัติไว้ดังนี้มาตรา ๑๐ ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้ทรงตั้งบุคคลหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้นให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ถ้าหากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งหรือไม่สามารถจะทรงตั้งได้ไซร้ ท่านให้สภาผู้แทนราษฎรยังมิได้ตั้งผู้ใด ท่านให้คณะรัฐมนตรีกระทำหน้าที่นั้นไปชั่วคราวในขณะที่รัฐธรรมนูญ 2489 บัญญัติว่า...มาตรา ๑๐ ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้ทรงตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้นให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ถ้าหากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งหรือไม่สามารถจะทรงตั้งได้ ให้รัฐสภาปรึกษากันตั้งขึ้นและในระหว่างที่รัฐสภายังมิได้ตั้งผู้ใด ให้สมาชิกพฤฒสภาผู้มีอายุสูงสุดสามคน ประกอบเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นชั่วคราว

นั่นคือ ใน การปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (แห่งรัฐ) นั้น องค์กรทุกองค์กร รวมทั้งองค์กรที่ปฏิบัติพระราชภาระแทนพระองค์ ล้วนมาจากกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น

ทั้งนี้ในส่วน "องคมนตรี" นั้น เป็นพระราชอำนาจในพระองค์ที่จะทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย เพื่อเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ โดยหาได้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เช่นในอดีตที่ประเทศสยามและหรือประเทศไทยในเวลาต่อมา มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศมาแล้วถึง 2 ฉบับ โดยเป็นที่รับรองกันไม่เพียงในเฉพาะแวดวงรัฐศาสตร์ ว่าเป็นรัฐ ธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเสียยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญในสมัยหลัง ซึ่งมักจะมีรากฐาน หรืออิงแนวคิดพื้นฐานมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว 2490 ที่เกิดจากการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ที่นำโดย พลโทผิน ชุณหะวัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า "รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม"

(อ่านรายละอียดได้ในบทความ "รัฐธรรมนูญที่ปราศจากองคมนตรี : ว่าด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ในนิตยสารรายปักษ์ Voice of Taksin ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 ปักษ์หลัง ธันวาคม 2552)

6. การประกาศไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ยืนยันอำนาจอธิปไตยที่ "เป็นของปวงชนชาวไทย" ซึ่งกินความไปถึง "รูปแบบ" และ "กระบวนการ" ทางการเมืองการปกครองทั้งมวลที่มีที่มาอยู่บนหลักการ "เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" จึงสมควรให้มีบทบัญญัติที่อยู่เหนือ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" ให้ประชาชน "มีสิทธิเสรีภาพเต็มสมบูรณ์ ในอันที่จะลุกขึ้นต่อต้าน คัดค้านและตอบโต้ ทุกความพยายามในอันที่จะทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตย" ทั้งนี้มีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรที่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ให้การเปลี่ยนแปลงอำนาจอธิปไตยที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย เป็นความผิดซึ่งประชาชนทุกคนสามารถกล่าวโทษและต่อต้านคัดค้านได้; นอกจากนี้ โดยหลักการประชาธิปไตยสมบูรณ์ ให้มีการรณรงค์ทั้งในและนอกสภา ในอันที่จะกำจัดอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง "คำสั่งทางปกครองอันไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย" ซึ่งได้แก่ "ประกาศคณะปฏิวัติ" และ/หรือ คำสั่งหรือประกาศอื่นใดในทำนองเดียวกัน

ถึง ตรงนี้ เราควรต้องย้ำกับทุกคนทุกฝ่าย ซึ่งส่วนใหญ่นั้นรู้ดีอยู่แล้วว่า เลือกกี่ครั้งกี่ครั้งก็คนที่เอื้อประโยชน์รูปให้แก่ประชาชน ย่อมได้รับความสนับสนุนจากประชาชนผ่านการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย อย่างแน่นอน

คำถามคือ แล้ว "เรา" ประชาชนผู้ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย กับบุคลากรทางการเมืองในระบบ จะทำอย่างไร - เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากอย่างเช่น... การรัฐประหารเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) …หรือ การ รัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549

หลักประกันที่ว่านี้ มีเงื่อนไขที่ถึงพร้อม 2 ประการด้วยกัน คือ

1. การบัญญัติเป็นกฎหมายสูงสุด ที่ไม่อาจทำลายได้ และกฎหมายนั้นมีลักษะเป็น "สัญญาประชาคม" นั่นคือ "รัฐธรรมนูญประชาชน ที่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์"

2. สำนึกประชาธิปไตยในหมู่ประชาชน ที่ก่อรูปและพัฒนาทั้งในด้านกว้างและระดับลึก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจลึกซึ้งและยึดกุม ความหมายของวลีที่ว่า "เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน"...

นั่น หมายความว่า... ถ้าเพียงแต่ได้อำนาจรัฐมาโดยผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สามารถมีหลักประกันที่จะพิทักษ์อำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เอาไว้ได้ ก็ป่วยการที่จะยืนยันถึงสิ่งที่เรียกกันว่า "ประชาธิปไตยกินได้"

พูด อย่างถึงที่สุด สำหรับ พ.ศ. นี้ คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็นอีกต่อไป ที่จะทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในประเด็นอันเป็นหัวใจของ "การเมืองการปกครอง"

คำ ถามมีประการเดียว - ก็พวกเราที่ตระหนักรู้ในเหตุและปัจจัยของอุปสรรคในการสร้างประชาธิปไตยนั้น เอง - มีความเข้าใจและยึดกุมความสำคัญของ "อำนาจรัฐ" แค่ไหนมากกว่า

ด้วยภราดรภาพ
รุ่งโรจน์ 'อริน' วรรณศูทร

แก้ไขชื่อจาก สู้เพื่อเป้าหมาย ประชาธิปไตยสมบูรณ์ "ไม่ชนะไม่เลิก" แค่ไหน-อย่างไร?
ตีพิมพ์ครั้งแรก THAIFREEDOM ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 ปักษ์หลัง มกราคม 2553
คอลัมน์ เปิดหน้าปล่อยการ์ด เขียนโดย อริน

No comments:

Post a Comment