Thursday, July 1, 2010

ปฏิบัติการ "ล่าแม่มด"

กับการตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม
พวงทอง ภวัครพันธุ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ท่ามกลางวาทกรรม "รู้รักสามัคคี" "รักกันไว้เถิด" "อย่าโกรธเกลียดทำร้ายกัน" สิ่งที่ดำเนินควบคู่กันไปก็คือ กระบวนการทำลายความชอบธรรมขบวนการคนเสื้อแดงอย่างเข้มข้นรุนแรงทั้ง โดยรัฐบาล สื่อมวลชนส่วนใหญ่ มวลชนสารพัดสี และเครือข่ายทางสังคมในโลกไซเบอร์


ขบวนการที่ชอบเรียกร้องให้สังคมไทยต้องรู้รักสามัคคีเหล่านี้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำให้ภาพพจน์ของคนเสื้อแดงมีความหมายเท่ากับ ความรุนแรง ความถ่อย โจรสถุล ผู้หลงผิด ขบวนการล้มเจ้า และผู้ก่อการร้าย ฯลฯ

ความสำเร็จดังกล่าวทำให้สังคมไทย ที่เราเห็นผ่านจอทีวี วิทยุ และหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ จึงไม่ได้รู้สึกโศกสลดต่อการตายของคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น 21 ศพเมื่อวันที่ 10 เมษายน หรือกว่า 80 ศพที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ

สำหรับบางคนการสูญเสียโรงหนังสยามอันเก่าแก่ดูน่าโศกสลดเสียยิ่งกว่าการตายของคนเสื้อแดงที่ "เกิดร่วมแดนไทย" กับพวกเขา

ความสำเร็จในการทำลายความชอบธรรมคนเสื้อแดง ทำให้คนในเมืองไม่เคยได้ยินเสียงกู่ร้องทวง "สิทธิและความยุติธรรมทางการเมือง" ของคนเสื้อแดง ไม่เห็นว่าภาวะสองมาตรฐานที่พวกเขาพากันสนับสนุนการรัฐประหารและวิธีการของกลุ่มพันธมิตร เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยวิธีนอกระบบ ฯลฯ ได้สร้างความรู้สึก "อยุติธรรม" ให้กับคนเสื้อแดงอย่างไร

เมื่อไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง พวกเขาจึงตีความตามประสาอภิสิทธิ์ชนว่า เพราะความยากจน จึงทำให้พวกบ้านนอกต้องเคลื่อนขบวนเข้ายึดกรุงเทพฯ จึงถึงเวลาที่พวกเขาต้องแสดงความเมตตาต่อคนยากไร้ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องชาวชนบท พวกเขาจะได้ไม่กลายเป็นผู้หลงผิด ถูกนักการเมืองชั่วหลอกเข้าเมืองอีก คนเสื้อแดงโปรดใจเย็น รัฐบาลกำลังจะส่งโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ-การเมืองไปให้ท่าน

ความสำเร็จของขบวนการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ช่างคล้ายคลึงกับสถานการณ์เมื่อ 34 ปีที่แล้ว ที่บรรดาชนชั้นกลางในเมืองช่วยกันเชียร์ให้อำนาจรัฐช่วยกันกวาดล้างนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

หลัง 6 ตุลา แม้นักศึกษาจะพ่ายแพ้ ขบวนการนักศึกษาถูกทำลายจนต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุนเข้าป่า แต่กระบวนการ "ล่าแม่มด" ของรัฐบาลขวาจัด ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็ยังไล่ล่า-คุกคาม ผู้คนต่อไป โดยมีประกาศคณะปฏิวัติที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่กลไกตำรวจ-ทหาร

ณ เดือนพฤษภาคม 2553 ขบวนการคนเสื้อแดงได้ถูกบดขยี้อย่างไร้ความปรานีจากอำนาจรัฐ แกนนำเกือบทั้งหมดถูกจับกุม มวลชนแตกกระสานซ่านเซ็นกลับสู่บ้านเกิดของตนด้วยน้ำตานองหน้า และความโกรธแค้นที่ไม่มีใครไยดี

แต่กระบวนการล่าแม่มดก็ยังดำเนินต่อไป ควบคู่ไปกับภาษาหวานๆ ของบรรดาผู้นำรัฐบาล กองทัพ ปัญญาชน สื่อมวลชนว่า "เราต้องช่วยกันเยียวยา" สังคมไทย

ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของรัฐที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างเต็มที่ ขบวนการล่าแม่มดของรัฐบาล ได้เริ่มปรากฏตัวให้เห็นเมื่อ ศอฉ.เปิดเผยเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า ที่กวาดเอาคนจำนวนมาก ทั้งนายพล นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ จนถึงนักศึกษาตัวเล็กๆ เข้ามารวมเป็นก๊วนเดียวกัน ต่อมาก็ประกาศรายชื่อแบล๊คลิสต์แหล่งเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของคนเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งเศรษฐีพันล้านและนักวิชาการยาจก อย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย รวมอยู่ด้วย

เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบดขยี้ขบวนการเสื้อแดงในกรุงเทพฯลงแล้ว พวกเขาย่อมต้องพยายามหาทางขุดรากถอนโคนขบวนการเสื้อแดงต่อไป บรรดาฮาร์ดคอร์ การ์ด และแกนนำคนเสื้อแดงท้องถิ่นในเขตภาคอีสานและภาคเหนือ จะไม่มีวันได้อยู่เย็นเป็นสุขไปอีกนาน และอาจรวมถึงบรรดาผู้ที่พยายามขุดค้นหาความจริงในวันที่ 19 พฤษภาคมเพื่อโต้แย้งกับข้อมูล "ผู้ก่อการร้าย" ของรัฐ

ศอฉ.จัดแสดงอาวุธร้ายแรงจำนวนมากที่อ้างว่ายึดมาได้จากวัดปทุมวนาราม เพื่อยืนยันว่าเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่ากังขาคือ ไม่มีประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่าอาวุธเหล่านั้นยึดมาจากวัดปทุมวนาราม เพราะนักข่าวถูกกันออกจากบริเวณวัดจนหมดด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย รายงานของนักข่าวต่างชาติ เช่น The Independent และ The Australian ซึ่งอยู่ภายในวัดในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม ก็ไม่ได้เห็นว่ามีการยิงตอบโต้ด้วยอาวุธร้ายแรงจากผู้คนในวัดเข้าใส่ทหาร ชาวบ้านมีแต่หนังสติ๊ก และปืนแก๊ป มีแต่ฝ่ายทหารที่ยิงเข้าไปในวัดอย่างหูดับตับไหม้ (ดูมติชนออนไลน์ 22 พ.ค.53)

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายรัฐบาลก็เปิดแถลงต่อสาธารณชนว่า ค้นพบอาวุธจำนวนมากในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกับนำมาแสดงต่อที่สนามหลวง แต่หลักฐานเรื่องอาวุธนี้กลับไม่ได้นำมาใช้ในการฟ้องดำเนินคดีต่ออดีตผู้นำนักศึกษา 13 คน และฝ่ายรัฐ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

หรือนี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาสังคมไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์?

หรือว่ากระบวนการเยียวยาของรัฐบาลนั้น มุ่งไปที่พวกเดียวกัน เพื่อสร้าง "ความรู้รักสามัคคี" ในหมู่ผู้คนกรุงเทพฯ และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น

สำหรับปฏิบัติการล่าแม่มดในโลกไซเบอร์ ที่จริงได้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มขึ้นในยุครุ่งโรจน์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เวลาที่มีใครบังอาจวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร หรือแสดงความเข้าอกเข้าใจขบวนการคนเสื้อแดง ผู้คนในเครือข่ายทางสังคมเหล่านี้จะช่วยกันส่งอี-เมลที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไปถล่มคนเหล่านั้น บางคนโชคร้ายหน่อยก็จะได้รับทั้งจดหมาย และโทรศัพท์ด่าทอขู่ทำร้ายแถมให้ด้วย

พวกเขาเพลาแรงกันไปพักหนึ่ง จนกระทั่งคนเสื้อแดงยกพลเข้ากรุงเทพฯในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ครั้งนี้พวกเขากลับมาใหม่แต่แรงกว่าเก่า

สุดยอดของขบวนการล่าแม่มดนี้ ก็คือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า "การลงทัณฑ์ทางสังคม" (Social Sanction) ที่ช่วยกันตามล่าผู้ที่ถูกเหมาเอาว่าไม่จงรักภักดี เอามา "เสียบประจาน" ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวและให้สมาชิกช่วยกันตามราวีทั้งในโลกไซเบอร์ และในโลกที่เป็นจริง

ล่าสุดเครือข่ายโลกไซเบอร์แห่งหนึ่ง กำลังรณรงค์ล่ารายชื่อเรียกร้องไม่ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รับเด็กที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคนเสื้อแดงเข้าศึกษาต่อ

ปฏิบัติการล่าแม่มดของรัฐ มาจากความเชื่อว่า เมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องขุดรากถอนโคนฝ่ายศัตรูให้ถึงที่สุด ส่วนของภาคประชาชน ดูจะมาจากความเชื่อในความถูกต้องในคุณธรรมของตนผสมกับความดูถูกเหยียดหยามคนเสื้อแดง ยิ่งเมื่อคนเสื้อแดงพ่ายแพ้ พวกนี้ก็ยิ่งได้ใจ ต้องรุมกระหน่ำให้ถึงที่สุด

ฉะนั้น คาถาที่คนเหล่านี้ชอบพร่ำสอนสังคมให้รักกันไว้เถิด อย่าทะเลาะกันเลย เราต้องมีสติ เราต้องรักกัน จึงมีไว้ฉาบผิวพฤติกรรมอันแท้จริงของตนเอง

แต่พวกเขาควรรับรู้ด้วยว่า ปฏิบัติการแห่งความเกลียดชังนี้จะไม่มีวันช่วยสมานรอยแตกร้าวของสังคมได้เลย มันมีแต่จะช่วยตอกลิ่มแห่งความแตกแยกระหว่างเมืองกับชนบท ช่วยซ้ำเติมให้บาดแผลและความโกรธแค้นของคนเสื้อแดงให้เลวร้ายลงไปอีก

บางทีสังคมไทยควรต้องหัดเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านของตนเองบ้าง แม้ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่คนไทยไม่ชอบหน้าเอามากๆ เช่น กัมพูชา

ผู้ที่ผ่านยุค 1970s มาแล้ว น่าจะจำกันได้ว่ากลุ่มคนที่เป็นเป้าสังหารของเขมรแดงหลังจากที่พวกเขายึดอำนาจได้ในปี 2518 ก็คือ นักการเมือง ข้าราชการทหาร ตำรวจ ราชวงศ์ พลเรือน พ่อค้านักธุรกิจ ปัญญาชน และพวกประกอบวิชาชีพต่างๆ พูดง่ายๆ คือ บรรดาอภิสิทธิ์ชนคนในเมืองนั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์กัมพูชา ไมเคิล วิคเคอรี่ เคยวิเคราะห์ไว้ว่าสาเหตุประการสำคัญของการสังหารคนเหล่านี้ก็คือ เขมรแดงเกลียดคนเมือง ที่เอาเปรียบ ข่มขู่ ขูดรีด คุกคาม ดูถูกคนชนบทตลอดมา วิคเคอรี่เห็นว่าอาการเกลียดคนเมืองนี้แพร่กระจายอยู่ในชนบทกัมพูชานานหลายปีก่อนที่เขมรแดงจะยึดอำนาจได้เสียอีก (ดู Michael Vickery, Cambodia 1975-1982) ภายในเวลาแค่ 3 ปีกว่า ระบอบเขมรแดงทำให้ผู้คนเสียชีวิตราว 1.7 ล้านคน

สำหรับสังคมไทย คนในเมืองมักมีภาพฝันเกี่ยวคนบ้านนอกว่าเป็นพวกสุภาพ อ่อนน้อม ซื่อบริสุทธิ์ จนถึงขั้นโง่เง่า แต่วันนี้ คนเสื้อแดง ได้ทำลายภาพลักษณ์เหล่านั้นจนสิ้น แต่คนในเมืองทั้งหลาย ก็ยังอยากจะหลอกตัวเองต่อไปว่า หลังจากวันนี้ ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกเมื่อคนเสื้อแดงได้รับบทเรียนราคาแพงกลับไปแล้ว พวกเขาก็จะกลับคืนเป็นคนบ้านนอกที่น่ารักของประเทศไทยต่อไป

เราได้แต่ภาวนาว่า ความหวังของพวกเขาจะเป็นความจริง

1 comment:

  1. ขอบคุณที่ยังปัญญาชนเข้าใจการต่อสู้ของเสื้อแดง ผมอ่านช้าไปเพราะเบื่อสื่อทุกสาขา เมืองไทยยุคนี้ คือ ยุกสร้างภาพความดีปิดบังความชั่ว ยุทวาทกรรมมากกว่าการทำให้เห็นผล ถ้าเปรียบกับนิยายจีนกำลังภายใน ของ โกวเล้ง หัวหน้าตัวร้ายต้องสร้างภาพได้สุดยอด แต่ก็ยังแพ้ตัวเอกแม้ตัวเอกจะเจ็บปางตาย สังคมไทยยังหาตัวเอกไม่ได้ น่าเศร้าใจที่คนไทยในเมืองหลวงไม่น้อย เห็นการทำลายล้างจนผู้คนล้มตายเป็นสิ่งถูกต้อง ยอมรับการปฏิบัติสองมาตรฐานเพียงเพื่อให้ฝ่ายตนคงอยู่ คุณธรรมของชาวพุทธแทบมองไม่เห็นจากคนเหล่านั้น ยอมรับและพร้อมจะเลียนแบบการสร้างภาพ ความอยุติธรรมเพื่อฝ่ายตน สมคมชาวพุทธ วัฒนธรรมอันอบอ่นเอื้ออาทรกำลังจะหมดไปแล้ว เรากลัวเหลือเกินว่า "วันหนึ่งอาจถึงขั้นคลั่งภาค คลั่งพรรค จนบ้าคลั่งไร้สติแยกรัฐ ดังที่พรรคการเมืองเก่าแก่ที่สร้างพรรคภาคนิยมกำลังดิ้นรนหนีตายจากการยุบพรรค ใช้เป็นยุทธศาสตร์ทางลับให้สมาชิกกดดัน กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ " เราไม่เคยเห็นพรรคนี้รักชาติทำเพื่อชาตมากกว่าเพื่อพรรคของตน เขาปลูกฝัง " พรรคต้องยืนยงคงม่น " มิใช่ชาติมั่นคง

    ReplyDelete