กรณีปราสาทพระวิหารกำลังปลุกกระแสชาตินิยม
แต่ก็ทำคนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด จนอาจนำไปสู่ความคลั่งชาติได้
ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกสร้างรอยร้าวให้กับทั้ง 2 ประเทศ คนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด กลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเขาพระวิหารเป็นของไทย แต่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และให้ถอนตัวออกจากยูเนสโก อีกกลุ่มมองว่าการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยควรเสนอขึ้นร่วมกับกัมพูชาและหาประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมาทะเลาะกันในเรื่องเขตแดนเพียงอย่างเดียว
สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (ทีมทนายความในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ปี 2502-2505) แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีแต่พื้นที่ในเขตอธิปไตยของไทย แม้ว่ากัมพูชาชนะคดีในศาลโลก แต่ก็ขึ้นไปทำอะไรบนปราสาทไม่ได้ แต่ที่ผ่านมากลับมีความพยายามเอาแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมของกัมพูชากับฝรั่งเศสมาใช้ โดยไม่ยอมพูดว่าเป็นแผนที่ของฝรั่งเศสที่ไทยไม่เคยยอมรับ
ในส่วนของนักวิชาอีกด้านหนึ่งมองว่า กรณีปราสาทพระวิหาร กำลังสร้างความรู้สึกให้ประชาชนเกิดความคลั่งชาติ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไทยไม่ควรมองการแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการใช้ความรุนแรงหรือมาตรการทางทหาร ซึ่งมีหลายประเทศที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องเขตแดนได้ แต่ก็เจรจากันในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
อนิจจา ประเทศไทย
ReplyDeleteนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และนักปราชญ์ทั้งหลาย กรุณาช่วยตอบให้ผมกระจ่างแจ้งหน่อยครับ
1. ปราสาททั้งตามขอบชายแดนไทย ทั้งปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทเขาพนมรุ้ง ปราสาทสะก๊อกด๊อกธม ฯลฯ เป็นศิลปะของชนชาติใด ชนชาติใดเป็นผู้สร้าง
2. แผนที่ประเทศสยามก่อน พ.ศ. 1800 มีขอบเขตถึงที่ใด เหตุใดต่อมาจึงขยายเพิ่มขึ้น และกลายเป็นปัญหาตามชายแดน จนถึงปัจจุบันใช่หรือไม่
3. ภาษาไทยที่นักเรียนนักศึกษาบอกว่า เรียนยากมากนั้น เป็นภาษาไทยแท้หรือเป็นภาษาผสม การเอาภาษาอื่นมาอ้างเป็นภาษาไทยนั้นเพราะเหตุใด
ถ้าผู้ใช้อำนาจรัฐ นักปราชญ์ ทั้งหลาย กล้าตอบความจริง รับความจริงของประวัติศาสตร์ การดำเนินการกับประเทศเพื่อนบ้านและ ๗๖ ชนชาติในประเทศไทย อาจจะเป็นกัลยาณมิตรมากขึ้น รอบคอบแยบยลมากขึ้น มิใช่อ้างแต่คำว่า “ รักชาติ “ กับ “ จงรักภักดี “ ไปทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตนและพรรคพวก ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ “ รักชาติ “ และ จงรักภักดี “ เช่นกัน เพียงแต่ความคิดต่างกัน คนส่วนมากเข้าอยากเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นในบ้านเมืองในหลักนิติธรรม โดยสัจธรรม ทั้งๆที่แทบมองไม่เห็นทางจะเกิดขึ้นจากผู้ใช้อำนาจรัฐที่ดำเนินการในหลักนิติกลยุทธ์ โดยมุสาธรรม
ผมเป็นคนหนึ่งที่รักชาติเช่นเดียวกับคนทั่วไป รักชาติแบบมีสติ ไม่บ้าคลั่ง จึงไม่ยอมหลงกลพวกใช้อำนาจรัฐที่โหมโฆษณากล่าวอ้างคำว่า “ รักชาติ “ “ จงรักภักดี “ เพื่อประโยชน์ด้านการเมืองและผลประโยชน์ของฝ่ายตน ไปทำลายล้างผู้ที่ไม่ยอมศิโรราบแก่ตน ทั้งๆที่พวกเขาก็ “ รักชาติ “ และ “ จงรักภักดี “ อาจจะมากกว่าพวกใช้อำนาจรัฐเสียอีก เพียงแต่ความคิดเห็นต่างกันเท่านั้น
ไทยจะสงบได้อย่างไร ภายใต้ผู้ใช้อำนาจรัฐที่ใจแคบเช่นนี้ เหตุการณ์ภายในก็หนักหนาสาหัส ยังไปก่อศึกกับเพื่อนบ้านเพียงเพื่อสร้างภาพการเมืองในประเทศของตนอีก หรือจะให้ประเทศชาติวุ่นวายจนสุดแก้ไข เพื่อการคงอยู่ของพรรคการเมืองของฝ่ายตนเท่านั้น อนิจจา ประเทศไทย