Sunday, August 29, 2010

เปิดใจเมียหมอเหวง แง้มคุกแกนนำเสื้อแดง

   รับบทหนักคอยประสานแกนนำนปช.ในเรือนจำเพื่อต่อสู้คดีก่อการร้าย
รวมถึงปัญหาจุกจิกสารพัด ทั้ง อาหารการกิน กำลังใจ ระหว่างเยี่ยม



   “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ไม่ใช่แค่ศรีภริยารุ่นเดอะจากภาพที่เห็นเดินตามนพ.เหวง โตจิราการ ต้อยๆ แต่บทบาทลึกของเธอเป็นทั้งแกนนำนปช. เป็นองค์ความรู้ขององค์กรเสื้อแดง เป็น “ครูใหญ่โรงเรียน นปช.” และเป็นคนเดือนตุลา ที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆ เคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

   หลังแกนนำถูกคุมขังสองเดือน ภารกิจประจำวันของธิดาจึงต้องหมุนเวียนเปลี่ยนตาม เธอออกจากบ้าน 9 โมงครึ่งทุกวันเพื่อไปเยี่ยม “หมอเหวง” สามีคู่ทุกข์คู่ยาก และเหล่าแกนนำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

   “ตอนนี้หมอ เหวงเขาทำใจอาจต้องติดยาวหลายสิบปีและคิดว่า รายการนี้ไม่หมู นี่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะ คดีก่อการร้ายมันเป็นเรื่องที่เขาเอาจริง ทั้งที่มันเป็นนิยายชวนหัวที่แต่งขึ้นให้สมจริง”

   “เวลา คุยกับหมอเหวงส่วนใหญ่ได้คุยเพียงไม่กี่นาที เพราะมีมวลชนมาเยี่ยมเยอะ เราจะพูดเรื่องการต่อสู้คดี เพราะเรา 11 คน(แกนนำและการ์ดนปช.ในคุก) ความคิดอาจจะต่างกันบ้าง อีกเรื่องคือ เล่าข่าวให้เขาฟัง หรือมีอะไรที่พวกเขาคุยกัน ก็มาบอกเรา เช่น อยากให้ทนายทำอะไรบ้าง เนื่องจากนปช.มีปัญหาถูกดำเนินคดีมาก เราจึงต้องการความช่วยเหลือที่มากมาย ทนายจำนวนหนึ่งอาจคิดไตร่ตรองไม่รอบคอบ พี่เลยแนะนำให้เปิดโอกาสให้ลูกความคุยด้วย”

   สนทนากันที่ “คลีนิครัชดา” ของ “หมอเหวง” ย่านเกษตร ในวันที่ดูเงียบเหงา แม้แต่ธิดาเองก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนที่เคยมาช่วยงานคลีนิค พอหลังเหตุชุมนุมจบลง ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวบรรยากาศการไล่ล่า

   สำหรับ คดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอจะส่งฟ้องแกนนำ เธอว่า แกนนำทำใจแล้วว่าคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และคดีนี้ก็ฟังไม่ขึ้น นโยบายนปช.เน้นสันติวิธี หากย้อนไปดูช่วงชุมนุมก็จะเห็นว่า “หมอเหวง”ยังโจมตีคนที่ใช้อาวุธที่จะเข้ามาในม็อบด้วย

   “หมอ เหวงยังบอกว่า ถ้าตำรวจมาจับก็จับไปซิ จนหลายครั้งพี่ยังเคยบอกว่า คุณพ่อต้องระวังนะ คุณจะโดนยิงหัวก่อน จากพวกกันเองนี่แหละ แกนนำทั้งหมดจริงๆแล้ว ไม่ต้องการให้มีกองกำลังอาวุธอะไรเข้ามาแอบแฝงอยู่เพราะมันจะทำให้พวกเขา ลำบากมาก ตอนนั้นเราไล่จริงๆ ด้วย บางคนก็บอกว่า ถึงไล่กูก็ไม่ไป (หัวเราะ)เขาพูดอย่างนี้กันเลย จำนวนหนึ่งที่เราได้ยินนะ และจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น”

“ก่อการร้าย” นิยายชวนหัว
แกน นำนปช.สายพิราบผู้นี้ บอกว่า บางเรื่องไม่อยากพูดถึง เพราะเกี่ยวข้องกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่หากจะสรุปบทเรียนให้ขบวนการเดินไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องพาดพิงบ้าง
“สิ่งที่เขาเคยพูดเรื่องแก้วสามประการ มีกองกำลังอาวุธ มันไม่ใช่แนวทางของเรา นั่นเป็นเรื่องปฏิวัติ นี่เป็นคำพูดแบบคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน คุณจะเอากองกำลังอะไรมาสู้กับ กองกำลังอาวุธของรัฐบาล คุณจะต้องใช้ทหารขนาดไหน คุณพร้อมหรือที่จะไปทำแบบพวก 3 จ.ภาคใต้ แล้วใครจะมายืนอยู่เคียงข้างคุณ ฉะนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ มันเป็นเรื่องของคนที่ต้องการสร้างความสำคัญจึงพูดขึ้นมา และคนที่ไม่รู้เรื่องบางคนอาจจะขานรับ ทำให้คนสงสัยขบวนการของคุณ”

   “แกน นำอย่างเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)หรือ ก่อแก้ว (พิกุลทอง)ก็มีลูกเล็กๆ เขาไม่พร้อมต่อสู้ด้วยอาวุธ หมอเหวงก็เหมือนกัน มีคลินิคที่ต้องดูแล ถ้าคนที่จะต่อสู้ด้วยอาวุธก็ต้องเป็นอีกแบบ ไม่ใช่แบบนี้ และพวกเราบางส่วนก็เคยผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธในป่ามาแล้ว ยิ่งปฏิเสธทุกคนเลย เรารู้ว่า การต่อสู้ด้วยอาวุธนั้น คืออะไรเราผ่านมาแล้ว รู้ว่า แต่นี่มันไม่ใช่ มันอาจมีผู้ถืออาวุธจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้กับภาคประชาชน ต้องการให้ค่าตัวเองขึ้นมา”

   อดีตที่เป็นคน เดือนตุลาเข้าป่ามา 8 ปี ธิดา บอกว่า ช่วงนั้นได้เรียนรู้เรื่องสำคัญในป่ามากมาย โดยเฉพาะการอยู่ร่วมประชุมเรื่องใหญ่ๆในสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุด ในป่า จนมาถึงการร่วมประชุมแกนนำนปช.ก็ได้แสดงจุดยืนในมติสำคัญ แม้ได้เตือนไปหลายเรื่อง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ

   “พี่พูดในเชิงหลักการถึงปัญหาแนวคิดเรื่องการยุติ การชุมนุม และการมองขบวนเราอย่างไร เราต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูก ถ้าเราไปปล่อยให้มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเข้ามา แม้แต่เพียงนิดเดียว เราจะเสียทั้งหมด ฉะนั้น เราจึงไม่อนุญาตให้สิ่งที่ผิดเข้ามา ส่วนคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ไปรับฟังแล้วไม่มาแก้ปัญหา มันไม่ได้”

   เธอเล่าว่า ภาย ในแกนนำ นปช. มีการต่อสู้ทางความคิดสูงมาก ปีกหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นสายเหยี่ยว “แรมโบ้- กีร์” ที่หนีลับ กับ ปีกคนเดือนตุลา “เหวง- วิสา –จรัล” ซึ่งผ่านการต่อสู้ในป่ามาก่อน ดังนั้น การจะคุยกันให้เป็นเอกภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

   “เรายิงคำถามกันว่า คุณเป็นอะไร เป็นนักปฏิวัติ หรือเป็นนักต่อสู้ในระบบ เราไม่ใช่นักปฏิวัตินะ ฉะนั้นไอ้ทฤษฎีแก้วสามดวง อย่าไปให้โกหกใส่ แล้วไปเชื่อ พี่ก็พูดในโรงเรียนนปช.ตลอด และที่ประชุมแกนนำ เมื่อมีโอกาสก็พูดทุกครั้งว่า อย่าไปเข้าใจผิด คนที่ถืออาวุธบางคน หรือ จำนวนหนึ่งต้องการสร้างความสำคัญให้กับตัวเองว่า ในขบวนต้องมีพวกเขานะ เราบอกว่า ไม่เห็นต้องการเลย ไปเลย ไปไกลๆ ตำรวจจะมาจับ ก็มาจับเลย”

แต่ฝั่งนี้ก็อ้างมาจากคุณทักษิณสั่ง? ...
“เรา ไม่รู้จริง เพราะขนาดเสธ.แดงพูดครั้งหลัง เขายังบอกเลยว่า เขาพูด แต่คุณทักษิณฟังเฉยๆ คือ ขณะนี้อีกคนอยู่ต่างประเทศ อีกคนตายไปแล้ว แล้วเราจะไปว่าใคร อาจจะไม่ใช่เสธ.แดงคนเดียวก็ได้ อาจมีคนอื่น ที่เราไม่รู้ แต่พูดตรงๆ พวกเราไม่เกี่ยว ดังนั้นแม้ดีเอสไอจะสร้างนิยายก่อการร้ายขึ้นมาอย่างไร ความเป็นจริงมันไม่มี

   ธิดาวิพากษ์ตรงๆ การที่นปช.ถูกมองว่า มีทั้งสายเหยี่ยว สายพิราบ หรือ พวกหัวดื้อในหมู่แกนนำแม้เป็นความหลากหลาย แต่กลับเป็นจุดอ่อนมาก
“เดิม เรานำโดยสามเกลอ ต่อมาขยายใหญ่ เป็นการนำรวมหมู่ ซึ่งก็มีข้อเสีย เพราะเรามาจากคนละทิศกัน พี่ก็ว่าเขา ทำไมพวกคุณ(แกนนำ) ไม่เข้าโรงเรียนนปช.เหมือนประชาชนบ้าง แต่นี่ก็เหมือนนักเรียนเกเร มีข้อแก้ต้วไปเรื่อย”

   นปช.เรามีระเบียบ มีวินัยเพราะตลอดเวลา กระจกที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไม่มีรอยถลอก แต่พอหลังจากหมดการควบคุมของแกนนำเท่านั้นมันก็จบ
อย่าง ที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่าย ขบวนการนี้มาจากมวลชนที่เป็นเสรีชน กลุ่มต่างๆ มาจากหลายพวก การจะทำให้เกิดเอกภาพ การมาด้วยกันก็ไม่ใช่ง่าย ที่ยากที่สุดคือ ตอนให้สลายนี่แหละ มีคนพร้อมที่จะเทคโอเวอร์เลยนะ ตอนนั้นหล่ะ นอกจากนั้นก็อาจจะมีพวกหนึ่งแตกไปเห็นด้วยก็ได้ และคุณจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
บทเรียนเสื้อแดง “ใหญ่แต่ขาดเอกภาพ”

   อย่างไรก็ตาม ธิดา มองว่า ในความพ่ายแพ้ของเสื้อแดงก็มีชัยชนะ เหตุการณ์สงกรานต์เลือด มีคนบอกว่า เสื้อแดงพ่ายแพ้ ที่สุดคนเสื้อแดงก็เติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ความเติบใหญ่จนมากเกินไป ก็เกิดจุดอ่อน

   “เป็นการ เติบใหญ่ที่ขาดประสิทธิภาพและขาดเอกภาพ กระทั่งเราไม่สามารถยกระดับ แม้แต่แกนนำด้วยกันให้ทันกับงานที่มากขึ้น เราไม่ได้ผ่านการตระเตรียม มารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงเป็นบทเรียนที่พี่บอกว่า แม้เราพยายามทำ แต่มันยังเป็นสไตล์แบบ... พวกเขามาจากพรรคการเมือง นายทุนทั้งนั้นเลย ไม่พร้อมจะเป็นนักต่อสู้”

   “แต่ทั้งหมดเสื้อแดงต้องเดินต่อ และนำด้วยแนวทางนโยบาย แกนนำคนไหนที่ไม่ยึดกุมนโยบาย แม้จะชื่อว่าเป็นแกนนำ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ตรงนี้มันต้องหลุดไป เพราะเราได้สัมมนาพอควรแล้วว่าเราจะยืนตามนี้ นำด้วยแนวทางนโยบายซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ถูกต้อง แต่ภาวะการนำอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะไม่ดีพอ แต่ถ้าเปลี่ยนจากแนวทางนี้ เช่น เราต้องการระบอบประชาธิปไตย อีกคนมาบอกว่า ไม่เอา จะเป็นสาธารณรัฐ ถามว่า คนเสื้อแดงเอาไหม ก็ไม่มีใครเอา หรือคุณบอกว่า ผมไม่เอาแล้วสันติวิธี ผมมีกองกำลังอาวุธ อาจจะมีคนส่วนหนึ่งเชื่อคุณ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอากับคุณ”

   ครูใหญ่นปช. บอกว่า การปรับขบวนข้างหน้า เสื้อแดงต้องหดด้านแพ้ ขยายด้านชนะ และ ก็จะเกิดการพ่ายแพ้แบบใหม่ และชัยชนะแบบใหม่ เชื่อว่ายุทธศาสตร์ของเสื้อแดงที่ผ่านมาถูกต้อง แต่ต้องคิดในสิ่งที่เป็นจริง อย่าทำอะไรเกินกว่าที่สังคมไทยเป็นอยู่ ควรเอาทีละขั้น ประเทศพร้อมตรงไหนเอาตรงนั้นก่อน

   ส่วนยุทธวิธี อาจอ่อนด้อยผิดพลาดบ้าง แต่อย่าคิดว่า ขังแกนนำแล้วการต่อสู้จะยุติ การนำชุดใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น อาจมีการเปลี่ยนผู้นำก็ได้

ชะตากรรม “หมอเหวง”-ชะตากรรมประเทศไทย
   คำถามที่ว่า ทำใจได้ไหมถ้า “หมอเหวง” ติดคุก 10 ปี กุนซือเสื้อแดง ย้อนกลับให้เราคิด
   “คำถามนี้ต้องมาตั้งคำถามกับประเทศไทยว่าเรายอมทำใจได้ไหมให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ สมมติหมอเหวงติดคุก 30 ปี คุณต้องตั้งคำถามกลับว่า แล้วสังคมไทยขณะนั้นจะเป็นอย่างไร คนไทยจะยอมให้ความอยุติธรรมแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อีกหรือ วันนี้ชะตากรรมหมอเหวงผูกกับชะตากรรมประเทศไทยไปแล้ว”
คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นไม่ว่าชุดปรองดองหรือ ปฏิรูปประเทศ เธอเชื่อว่า คณะกรรมการชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้

   “ประเทศ ไทยตอนนี้กำลังจะตาย หัวใจกำลังหยุดเต้น แต่เขากลับวินิจฉัยโรคผิด ให้ยาผิด ไปแก้ปัญหาน้ำหนักเกินเพราะคิดว่าเป็นปัญหาของหลายโรค เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ แต่วิกฤตการเมืองที่เป็นโรคเฉียบพลัน จะมาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำไม่ได้ ต้องแก้ที่เลิกพรก.ฉุกเฉิน เพราะรัฐบาลกำลังไล่ล่าคนที่เห็นต่างให้เป็นผู้ก่อการร้าย ล้มเจ้า ต้องเปิดสื่อให้เขามีความเห็นอิสระในขอบเขตกฎหมาย”
“วันนี้ ประชาชน เขาต้องการความเป็นธรรมทางการเมืองก่อน จากนั้นถึงค่อยยุบสภา เพราะเขาเดินขบวนมาเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ได้มาทวงเรื่องความยากจน ส่วนปัญหาโรคอ้วนมันต้องใช้เวลาอีกยาว แค่มาบตาพุดคุณยังตัดสินไม่ได้ เรื่อง 3 จี ประเทศลาวก็มีแล้ว”

ในอนาคต ขบวนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร?....
  “อย่าถามว่า คนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร หรือ มอบชะตากรรมประเทศให้คนเสื้อแดงฝ่ายเดียว ต้องถามว่า คนเสื้อขาวและสังคมไทยจะทำอะไร คุณจะปล่อยให้คนเสื้อแดง เสื้อเหลือง รบกัน แล้วคุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้ประเทศพังหรอ สังคมต้องสรุปบทเรียนคุณต้องรู้ว่า การที่เราเข้ามาอยู่ในกรุงเทพได้นานแสดงว่า คนกรุงเริ่มให้พื้นที่คนเสื้อแดงมากขึ้น

   “ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือ คุณทักษิณ จะทำอะไรที่เกินกว่าความเป็นจริงของสังคมไทยนั้น ไม่ได้ คุณมีสิทธิ์จะคิด จะฝัน ไม่ว่าอภิสิทธิ์ ทักษิณ หรือ ป๋า เสื้อแดงก็เหมือนกัน ถึงจะคิดฝันแต่ถ้ามันไม่สอดคล้องความเป็นจริง ซึ่งมันมีสามด้าน ด้านฝั่งตัวเอง ฝั่งที่เป็นผู้ปฏิปักษ์ และ ด้านที่ไม่ได้อยู่ข้างไหน

   ในส่วนของเสื้อแดง คุณมีศักยภาพแค่ไหน รัฐบาลมีแค่ไหน หรือ เสื้อเหลืองมีแค่ไหน ก็ต้องคิดกัน สมมติว่าเสื้อแดงคุณหวังจะยึดประเทศ ฝั่งฮาร์ดคอร์น่ะ ทำได้หรอ (เสียงเข้ม) คุณอยากทำหล่ะ เราก็รู้ ใครก็อยากได้ และทำได้ไหม จริงไหม หรืออีกฝั่งคิดจะทำลายคนเสื้อแดง คุณทำได้ไหม คุณจับแกนนำไปขังแล้วเสื้อแดงจะราบคาบหรือ มันอาจจะตรงข้ามนะ แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เขามีแกนนำคนอื่นอีก”

   “ดังนั้น สังคมต้องเลือกว่า จะให้ประเทศไปทางไหน ในส่วนของคนเสื้อแดงต้องทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ คนเสื้อเหลืองก็เหมือนกันถ้าคิดว่าถูกก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวเองถูก ไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ เอาปืนไปจี้หัว เอารองเท้าบู๊ตไปเหยียบปากเขาไว้ ถ้าถามพี่ พี่ต้องการแบบนั้น ไม่ได้ต้องการกองกำลังอาวุธมาล้ม เพราะรัฐบาลเขามีกองทัพ มีกองกำลังมากกว่า คุณสู้เขาไม่ได้ สู้ชนะใจประชาชนดีกว่าเพื่อให้เห็นว่า ประเทศต้องพัฒนา มิฉะนั้น เราไม่มีทางตามทัน”

   เธอสรุปว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้รูปการณ์จิตสำนึกที่ครอบงำสังคม เป็นอนุรักษ์นิยม โครงสร้างชั้นบนของสังคมที่ยังล้าหลัง และนี่คือตัวขัดแย้งที่ทำให้ประเทศก้าวต่อไปไม่ได้ตรงนี้ต้องมีการปลดปล่อย

เอ็กซเรย์หัวใจแกนนำในคุก
   ความเครียดที่แกนนำเสื้อแดงต้องใช้ชีวิตในคุก ไม่รู้ว่าจะถูกจองจำอีกนานแค่ไหน หลายคนต้องปรับตัวหากิจกรรมทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ ธิดา ถ่ายทอดภารกิจผู้ประสานงาน “แม่บ้านนอกเรือนจำ” ให้ฟัง

   “ภรรยาบางคนอย่างแก้ม (ภรรยาณัฐวุฒิ) เขาก็มีลูกเล็ก แต่เขาก็ช่วยเรื่องฝากของ แต่บางคนเขาอยู่ไกล อย่างภรรยานิสิต ขวัญชัย อยู่ต่างจังหวัด บางรายก็มีภรรยาหลายคนก็ไม่เป็นอันยุติ (หัวเราะร่วน) พี่ต้องเดินเข้าไปบอกเขาเหมือนกันว่า (ทำเสียงกระซิบ)….‘คุณอาจมีปัญหาเพราะมีคนอ้างเป็นภรรยา 5 คน’ หรือ บางคนก็มีปัญหาส่วนตัวกันบ้าง เราก็บอกอย่าไปคิดมาก เขาอยู่ข้างใน ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไปหาใครไม่ได้(หัวเราะ)” สำหรับชีวิตแกนนำโดยเฉพาะ “หมอเหวง” ไม่ได้เครียดเหมือนที่เป็นข่าว เพราะแดน 6 ที่อยู่เป็นแดนแห่งเสียงดนตรี

   “หมอ เหวงอยู่มีดนตรีนับว่าโชคดี เขาเลยถือโอกาส ฝึกกีตาร์จนนิ้วโป่ง เนี่ยโชว์นิ้วให้เราเห็นตอนไปเยี่ยม สมชาย ไพบูลย์ (แกนนำนปช.) ที่อยู่ด้วยกันก็เลยช่วยกันแต่งเพลง ณัฐวุฒิอยู่แดนอื่นก็ตามมาขอร้องเพลงบ้าง คุณวีระ(ได้ประกันตัวออกมาแล้ว)แกก็บอกว่า แหม..อยากจะขอมาตีฉิ่งฉับด้วย แต่วีระกับณัฐวุฒิส่วนใหญ่จะซ้อมมวย สองคนนี้เขาชอบ เอากางเกงนักมวยไปซ้อมจริงกับผู้ต้องขังคนอื่น”

   “คุณหมอไม่ได้ เครียดประเภทอ่านหนังสือจริงจังเหมือนที่ข่าวลง แต่เขาเล่นดนตรีหนักมาก ก็มีคนฝากของกินไปให้ แต่หมอเหวงบอกไม่ไหวเดี๋ยวจะอ้วนเพราะที่นั่นพอบ่าย 2 ต้องขึ้นห้องขัง แต่หมอเหวงเขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาไม่กินอะไร”

   ธิดา เล่าปนขำว่า ฝากหนังสือให้หมอเหวงอ่าน เช่น สามก๊ก หนังสืออัตชีวประวัติ แต่บางเล่มไม่กล้าฝาก กลัวจะมีปัญหากับเรือนจำ เช่น หนังสือชีวิตนักต่อสู้ที่ติดคุกอย่าง โฮจิมินห์ ส่วนณัฐวุฒิ เขาได้หนังสือ การต่อสู้ของเนลสัน เมนเดลล่า เขาอ่านแล้วชอบ แต่พี่ว่าอย่าเอาอย่างเลย มันติดคุกนานเกินไป แม้นพ.เหวงจะถือปืนต่อสู้ในป่ามา แต่ในวัย 60 เมื่อต้องติดอยู่ในคุกปนอยู่กับผู้ต้องขังรายอื่น ก็ท้อแท้เป็นธรรมดา ธิดาจึงต้องเป็นพลังใจให้สามี

   “ก็บอกเขาว่า ทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ เขาก็เป็นคน (เน้นเสียง) เหมือนเรา หลายคนอาจผิดพลาด ก็ให้หมอทำใจ ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาให้ได้”
ช่วง หนึ่งธิดาเล่าน้ำตาคลอ “สฤษดิ์แม้จะเป็นเผด็จการ ทำไม่ดี แต่เขาก็ยังมีความดีอยู่บ้าง คือ เขาให้เอานักโทษการเมืองอยู่ในแดนเฉพาะ แยกออกจากอาชญากรไม่เหมือนยุคอภิสิทธิ์ที่จับปนไปหมด เป็นรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่ารัฐบาลทหารเผด็จการแท้ๆ”
กระนั้น เธอยังสวมบทบาทพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจแกนนำทุกคนว่า ถ้าจะเป็นนักต่อสู้ต้องผ่านช่วงสำคัญนี้ให้ได้

   “คุณ วีระเขาเป็นคนใจใหญ่นะ เขาบอกพี่ รัฐบาลจะทำอะไรก็ทำ เพราะชีวิตเขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ส่วนเต้น(ณัฐวฒิ) เป็นคนที่น่าชมเชย แต่เขาขาดนิดเดียว คือ ไม่ได้ศึกษาทางหลักทฤษฎี เขาใช้ประสบการณ์และข้อดีตัวเขาขึ้นมา ถ้าเขาได้ศึกษาเรื่องบทเรียนทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจะดีมากขึ้น แต่ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาทำตรงนี้ เขาเตรียมพร้อมจะเป็นโฆษกออกรายการทีวีมากกว่า ไม่มีใครคิดหรอกว่า จะมารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงอาจเป็นข้ออ่อนและบทเรียนที่พี่บอกว่า ในชัยชนะมีความพ่ายแพ้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะเป็นมันชัยชนะที่คุณคุมมวลชนเป็นเรือนล้านและเรียกคนมาได้เป็นแสน แต่ขณะเดียวกันมันมีความพ่ายแพ้ มีข้อบกพร่อง

   “แต่ โดยรวมพี่ได้แต่บอกแกนนำทุกคนว่า คุณกำลังถูกทดสอบว่า จะเป็นนักต่อสู้ประชาชนได้ไหม ถ้าคุณจะเป็นได้ คุณต้องผ่านการถูกขังมาก่อน (หัวเราะ) แกนนำบางคนถามพี่ว่า มันต้องติดคุกหรือพี่ ... พี่บอกใช่ๆ (หัวเราะ) พี่บอกขวัญชัย อย่าร้องไห้ (ลากเสียง) เพราะขวัญชัยตอนแรกก็จะร้อง นิสิตก็เหมือนกัน เฮ้ย..นิสิตที่ให้เป็น ผอ.โรงเรียนนปช.ก็คืองานนี้แหละที่ต้องมาติดคุก นิสิตบอกงั้นหรอ..ก็ใช่สิ (หัวเราะ) คือ พี่ต้องพูดล้อเล่น ให้เขารู้ตัวว่า เมื่อเข้าสู่ปริมณฑลการต่อสู้ของประชาชนแล้ว จะคิดแบบเก่าไม่ได้ และเขาต้องยินดีกับบทบาทที่ต้องถูกติดคุก ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้”

   “พี่ บอกเขา เวลาทำงานภาคประชาชน คุณมองแต่ด้านรุ่งโรจน์ที่ได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน ไม่ได้ นี่ไงกำลังถูกทดสอบ ถ้าเป็นนักต่อสู้ คุณต้องพร้อม 1. ตาย 2. ติดคุก คุณจะผ่านไหม พี่ให้กำลังใจอย่างนี้ เพราะเขาคิดว่า มันง่ายๆ หมูๆ พาคนมาประท้วงยุบสภาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็กลับบ้าน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ได้กลับบ้าน ยุบสภาก็ไม่ได้ แต่มันเข้าตาราง”

   “ขนาดหมอเหวงผ่านมาเยอะ ก็ยังไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะง่ายนะ ทุกวันนี้พี่ให้กำลังใจเขา ไม่ใช่ให้กำลังใจอดทนอย่างเดียว เราบอกว่าคุกมันขังคุณได้แต่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเราต้องไม่ถูกทำลาย มันขังเราไม่ใช่ชัยชนะ แต่ถ้าเมื่อไร มันทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของเรา นั่นแหละมันได้ชัยชนะ

หมอเหวงฟังแล้วเป็นไง?....
   “แล้วคุณฟังแล้ว รู้สึกอย่างไรหล่ะ
สำหรับ “หมอเหวง” ธิดา เล่าว่า หลังจาก ออกจากป่าสมัยในฐานะคนเดือนตุลา ในช่วงรัฐบาลเปรม นับแต่นั้นจนถึงเหตุการณ์เสื้อแดง “หมอเหวง” ต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สามแล้ว

   “ตอนเหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้าน ป๋า(พล.อ.เปรม ติณสูลานท์) อยู่เรือนจำ 10 วัน เราเข้ากันเอง เขาให้ประกันไม่ยอมประกัน พี่บอกบ้าหรือไง ..ตู่ (จตุพร) และสุดท้ายหมอเหวง กับ อาจารย์มานิตย์ จิตจันทร์กลับ บอกว่า เป็นคนแก่ จึงขอออกมาก่อน ส่วนรอบสองปีที่แล้ว อยู่ค่ายตชด. ไม่ได้เข้าเรือนจำ แต่รอบนี้ดูจะไม่ได้ออกมา ขนาดก่อแก้ว เขายังไม่ยอมให้ออกมาเลย มันประหลาดไหมบอกว่า กลัวหนี คนที่จะหนีมันหนีไปหมดแล้ว พวกนี้มันพวกไม่หนีอยู่แล้ว ออกมาก่อนแล้วยังเข้าไปมอบตัวนะ คุณวีระ ก่อแก้ว หมอเหวง ที่ออกมาก่อนจากเวทีตอนนั้น เพราะมันกำลังอยู่ในช่วงที่มั่ว คือ แค่หลบอันตรายเท่านั้นเอง

แล้วทำไม “หมอเหวง”ไม่หนีเหมือน จรัล ดิษฐาอภิชัย?
...ก็ เราไม่คิดจะหนี เรามีลูก มีครอบครัว มีงานและอีกอย่างเชื่อว่า เราไม่ได้ทำผิด ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้าย สนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธ เราเพียงแต่เอาคนมายุบสภา แต่พอมันมีเรื่องประกาศ พรก. เราก็สู้กันไป ก็คิดแค่นั้น ด้านหนึ่งอาจมองว่า พลาดไปก็ได้ ไม่คิดว่า เขาจะเอาตายขนาดนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ก่อแก้ว เต้น ก็มีลูกน่ารัก ทุกคนไม่มีใครคิดใช้กำลังอาวุธและสู้กับใครแล้วต้องหนี

แต่แรมโบ้กับกีร์ไปเลย...
“ที่ เขาไปเพราะกลัวถูกเล่นงาน โกรธแค้นกันมาก เพื่อความปลอดภัยจึงไปก่อน และถ้าพรรคพวกไม่เป็นไรก็อาจจะกลับมา แต่ถ้าพรรคพวกถูกกระทำอย่างนี้ มันก็คงยากที่เขาจะกลับมา ฉะนั้น ก็ไม่รู้... อยู่ที่ว่า ถ้าคิดแบบโบราณ คิดว่า เหมือนเกมที่เขาเรียกว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นกบฎ ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร แต่ถ้าคิดแบบทฤษฎีสมัยใหม่ ซีโร่ซัมเกม คือ มันต้องบวกลบกันไปข้างเป็นศูนย์ คือ มึงต้องตายไปข้าง (หัวเราะ) นี่ก็เป็นวิธีคิดของพวกเขาแบบนั้น ไม่ได้คิดตามหลักการของคนยุคใหม่ ที่คนเราสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะได้”

ครูใหญ่โรงเรียนแดงสองยุค
   ธิดา เป็นคนเดือนตุลา เธอบอกเริ่มเข้าป่าปี 2519 ทั้งที่ไม่ต้องเข้าก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องหนี แต่เข้าเพราะแฟชั่น ที่เห็นนักศึกษาหนีเข้าป่าไปเยอะ เธอเล่าชีวิตช่วงนั้นว่า
“ตอนนั้น เพิ่งจบเป็นอาจารย์เด็ก จบปริญญาโท microbiology ที่คณะเภสัช จุฬาฯ เราสงสาร เลยตามเข้าป่าไปดู พี่เลยไปเปิดโรงเรียนแพทย์ในป่าเยอะเลย ตอนนั้นพี่ไปภาคใต้ก่อนและก็ดูงานพรรคคอมมิวนิสต์มลายู จากนั้นไปภาคเหนือ เดินไปเดินมาฝั่งลาวไทย ช่วงนั้นก็ปิดชายแดนอีก พี่ก็ไปอีสานก็ไปเจอหมอเหวงที่นั่น เข้าป่าทั้งหมด 7 ปี ถือว่าผ่านชีวิตลำบากในช่วงนั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะเป็นช่วงต้นของชีวิต”

   จากเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ในป่า สู่เสื้อแดงนปช. หน้าที่หลักที่นปช.มอบให้คือ เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนนปช. ที่แผ่เป็นกิ่งก้านหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ เธอบอกว่า บรรยายในโรงเรียนเรื่องนโยบาย นปช. ทั่วไป แต่ช่วงหลังตั้งโรงเรียนไม่ทัน จึงมีพวกเสื้อแดงด้วยกันแอบอ้างไปทำโรงเรียนนปช.ปลอมกันขึ้นมาเยอะ ทำโดยไปเชิญคนนั้นคนนี้ไปพูดเท่านั้น

   “พอเปิดโรงเรียนนปช.คนก็สมัคร ล้นหลาม ตอนนั้น อดิศร (เพียงเกษ) ก็มาวิ่งขอฝากคนเข้าโรงเรียนนปช.เลย แทนที่จะฝากเข้าสวนกุหลาบ แต่พอมาเปิดเยอะ ปลอมขึ้นมา คือ พูดความจริงไม่หมด ช่วงหลังพี่ก็ด่าซิ” เธอหัวเราะ

จาก Thaienews Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 8/03/2010 07:53:00 ก่อนเที่ยง

เปิดใจเมียหมอเหวง แง้มคุกแกนนำเสื้อแดง

   รับบทหนักคอยประสานแกนนำนปช.ในเรือนจำเพื่อต่อสู้คดีก่อการร้าย
รวมถึงปัญหาจุกจิกสารพัด ทั้ง อาหารการกิน กำลังใจ ระหว่างเยี่ยม



   “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ไม่ใช่แค่ศรีภริยารุ่นเดอะจากภาพที่เห็นเดินตามนพ.เหวง โตจิราการ ต้อยๆ แต่บทบาทลึกของเธอเป็นทั้งแกนนำนปช. เป็นองค์ความรู้ขององค์กรเสื้อแดง เป็น “ครูใหญ่โรงเรียน นปช.” และเป็นคนเดือนตุลา ที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆ เคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

   หลังแกนนำถูกคุมขังสองเดือน ภารกิจประจำวันของธิดาจึงต้องหมุนเวียนเปลี่ยนตาม เธอออกจากบ้าน 9 โมงครึ่งทุกวันเพื่อไปเยี่ยม “หมอเหวง” สามีคู่ทุกข์คู่ยาก และเหล่าแกนนำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

   “ตอนนี้หมอ เหวงเขาทำใจอาจต้องติดยาวหลายสิบปีและคิดว่า รายการนี้ไม่หมู นี่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะ คดีก่อการร้ายมันเป็นเรื่องที่เขาเอาจริง ทั้งที่มันเป็นนิยายชวนหัวที่แต่งขึ้นให้สมจริง”

   “เวลา คุยกับหมอเหวงส่วนใหญ่ได้คุยเพียงไม่กี่นาที เพราะมีมวลชนมาเยี่ยมเยอะ เราจะพูดเรื่องการต่อสู้คดี เพราะเรา 11 คน(แกนนำและการ์ดนปช.ในคุก) ความคิดอาจจะต่างกันบ้าง อีกเรื่องคือ เล่าข่าวให้เขาฟัง หรือมีอะไรที่พวกเขาคุยกัน ก็มาบอกเรา เช่น อยากให้ทนายทำอะไรบ้าง เนื่องจากนปช.มีปัญหาถูกดำเนินคดีมาก เราจึงต้องการความช่วยเหลือที่มากมาย ทนายจำนวนหนึ่งอาจคิดไตร่ตรองไม่รอบคอบ พี่เลยแนะนำให้เปิดโอกาสให้ลูกความคุยด้วย”

   สนทนากันที่ “คลีนิครัชดา” ของ “หมอเหวง” ย่านเกษตร ในวันที่ดูเงียบเหงา แม้แต่ธิดาเองก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนที่เคยมาช่วยงานคลีนิค พอหลังเหตุชุมนุมจบลง ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวบรรยากาศการไล่ล่า

   สำหรับ คดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอจะส่งฟ้องแกนนำ เธอว่า แกนนำทำใจแล้วว่าคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และคดีนี้ก็ฟังไม่ขึ้น นโยบายนปช.เน้นสันติวิธี หากย้อนไปดูช่วงชุมนุมก็จะเห็นว่า “หมอเหวง”ยังโจมตีคนที่ใช้อาวุธที่จะเข้ามาในม็อบด้วย

   “หมอ เหวงยังบอกว่า ถ้าตำรวจมาจับก็จับไปซิ จนหลายครั้งพี่ยังเคยบอกว่า คุณพ่อต้องระวังนะ คุณจะโดนยิงหัวก่อน จากพวกกันเองนี่แหละ แกนนำทั้งหมดจริงๆแล้ว ไม่ต้องการให้มีกองกำลังอาวุธอะไรเข้ามาแอบแฝงอยู่เพราะมันจะทำให้พวกเขา ลำบากมาก ตอนนั้นเราไล่จริงๆ ด้วย บางคนก็บอกว่า ถึงไล่กูก็ไม่ไป (หัวเราะ)เขาพูดอย่างนี้กันเลย จำนวนหนึ่งที่เราได้ยินนะ และจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น”

“ก่อการร้าย” นิยายชวนหัว
แกน นำนปช.สายพิราบผู้นี้ บอกว่า บางเรื่องไม่อยากพูดถึง เพราะเกี่ยวข้องกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่หากจะสรุปบทเรียนให้ขบวนการเดินไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องพาดพิงบ้าง
“สิ่งที่เขาเคยพูดเรื่องแก้วสามประการ มีกองกำลังอาวุธ มันไม่ใช่แนวทางของเรา นั่นเป็นเรื่องปฏิวัติ นี่เป็นคำพูดแบบคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน คุณจะเอากองกำลังอะไรมาสู้กับ กองกำลังอาวุธของรัฐบาล คุณจะต้องใช้ทหารขนาดไหน คุณพร้อมหรือที่จะไปทำแบบพวก 3 จ.ภาคใต้ แล้วใครจะมายืนอยู่เคียงข้างคุณ ฉะนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ มันเป็นเรื่องของคนที่ต้องการสร้างความสำคัญจึงพูดขึ้นมา และคนที่ไม่รู้เรื่องบางคนอาจจะขานรับ ทำให้คนสงสัยขบวนการของคุณ”

   “แกน นำอย่างเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)หรือ ก่อแก้ว (พิกุลทอง)ก็มีลูกเล็กๆ เขาไม่พร้อมต่อสู้ด้วยอาวุธ หมอเหวงก็เหมือนกัน มีคลินิคที่ต้องดูแล ถ้าคนที่จะต่อสู้ด้วยอาวุธก็ต้องเป็นอีกแบบ ไม่ใช่แบบนี้ และพวกเราบางส่วนก็เคยผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธในป่ามาแล้ว ยิ่งปฏิเสธทุกคนเลย เรารู้ว่า การต่อสู้ด้วยอาวุธนั้น คืออะไรเราผ่านมาแล้ว รู้ว่า แต่นี่มันไม่ใช่ มันอาจมีผู้ถืออาวุธจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้กับภาคประชาชน ต้องการให้ค่าตัวเองขึ้นมา”

   อดีตที่เป็นคน เดือนตุลาเข้าป่ามา 8 ปี ธิดา บอกว่า ช่วงนั้นได้เรียนรู้เรื่องสำคัญในป่ามากมาย โดยเฉพาะการอยู่ร่วมประชุมเรื่องใหญ่ๆในสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุด ในป่า จนมาถึงการร่วมประชุมแกนนำนปช.ก็ได้แสดงจุดยืนในมติสำคัญ แม้ได้เตือนไปหลายเรื่อง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ

   “พี่พูดในเชิงหลักการถึงปัญหาแนวคิดเรื่องการยุติ การชุมนุม และการมองขบวนเราอย่างไร เราต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูก ถ้าเราไปปล่อยให้มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเข้ามา แม้แต่เพียงนิดเดียว เราจะเสียทั้งหมด ฉะนั้น เราจึงไม่อนุญาตให้สิ่งที่ผิดเข้ามา ส่วนคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ไปรับฟังแล้วไม่มาแก้ปัญหา มันไม่ได้”

   เธอเล่าว่า ภาย ในแกนนำ นปช. มีการต่อสู้ทางความคิดสูงมาก ปีกหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นสายเหยี่ยว “แรมโบ้- กีร์” ที่หนีลับ กับ ปีกคนเดือนตุลา “เหวง- วิสา –จรัล” ซึ่งผ่านการต่อสู้ในป่ามาก่อน ดังนั้น การจะคุยกันให้เป็นเอกภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

   “เรายิงคำถามกันว่า คุณเป็นอะไร เป็นนักปฏิวัติ หรือเป็นนักต่อสู้ในระบบ เราไม่ใช่นักปฏิวัตินะ ฉะนั้นไอ้ทฤษฎีแก้วสามดวง อย่าไปให้โกหกใส่ แล้วไปเชื่อ พี่ก็พูดในโรงเรียนนปช.ตลอด และที่ประชุมแกนนำ เมื่อมีโอกาสก็พูดทุกครั้งว่า อย่าไปเข้าใจผิด คนที่ถืออาวุธบางคน หรือ จำนวนหนึ่งต้องการสร้างความสำคัญให้กับตัวเองว่า ในขบวนต้องมีพวกเขานะ เราบอกว่า ไม่เห็นต้องการเลย ไปเลย ไปไกลๆ ตำรวจจะมาจับ ก็มาจับเลย”

แต่ฝั่งนี้ก็อ้างมาจากคุณทักษิณสั่ง? ...
“เรา ไม่รู้จริง เพราะขนาดเสธ.แดงพูดครั้งหลัง เขายังบอกเลยว่า เขาพูด แต่คุณทักษิณฟังเฉยๆ คือ ขณะนี้อีกคนอยู่ต่างประเทศ อีกคนตายไปแล้ว แล้วเราจะไปว่าใคร อาจจะไม่ใช่เสธ.แดงคนเดียวก็ได้ อาจมีคนอื่น ที่เราไม่รู้ แต่พูดตรงๆ พวกเราไม่เกี่ยว ดังนั้นแม้ดีเอสไอจะสร้างนิยายก่อการร้ายขึ้นมาอย่างไร ความเป็นจริงมันไม่มี

   ธิดาวิพากษ์ตรงๆ การที่นปช.ถูกมองว่า มีทั้งสายเหยี่ยว สายพิราบ หรือ พวกหัวดื้อในหมู่แกนนำแม้เป็นความหลากหลาย แต่กลับเป็นจุดอ่อนมาก
“เดิม เรานำโดยสามเกลอ ต่อมาขยายใหญ่ เป็นการนำรวมหมู่ ซึ่งก็มีข้อเสีย เพราะเรามาจากคนละทิศกัน พี่ก็ว่าเขา ทำไมพวกคุณ(แกนนำ) ไม่เข้าโรงเรียนนปช.เหมือนประชาชนบ้าง แต่นี่ก็เหมือนนักเรียนเกเร มีข้อแก้ต้วไปเรื่อย”

   นปช.เรามีระเบียบ มีวินัยเพราะตลอดเวลา กระจกที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไม่มีรอยถลอก แต่พอหลังจากหมดการควบคุมของแกนนำเท่านั้นมันก็จบ
อย่าง ที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่าย ขบวนการนี้มาจากมวลชนที่เป็นเสรีชน กลุ่มต่างๆ มาจากหลายพวก การจะทำให้เกิดเอกภาพ การมาด้วยกันก็ไม่ใช่ง่าย ที่ยากที่สุดคือ ตอนให้สลายนี่แหละ มีคนพร้อมที่จะเทคโอเวอร์เลยนะ ตอนนั้นหล่ะ นอกจากนั้นก็อาจจะมีพวกหนึ่งแตกไปเห็นด้วยก็ได้ และคุณจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
บทเรียนเสื้อแดง “ใหญ่แต่ขาดเอกภาพ”

   อย่างไรก็ตาม ธิดา มองว่า ในความพ่ายแพ้ของเสื้อแดงก็มีชัยชนะ เหตุการณ์สงกรานต์เลือด มีคนบอกว่า เสื้อแดงพ่ายแพ้ ที่สุดคนเสื้อแดงก็เติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ความเติบใหญ่จนมากเกินไป ก็เกิดจุดอ่อน

   “เป็นการ เติบใหญ่ที่ขาดประสิทธิภาพและขาดเอกภาพ กระทั่งเราไม่สามารถยกระดับ แม้แต่แกนนำด้วยกันให้ทันกับงานที่มากขึ้น เราไม่ได้ผ่านการตระเตรียม มารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงเป็นบทเรียนที่พี่บอกว่า แม้เราพยายามทำ แต่มันยังเป็นสไตล์แบบ... พวกเขามาจากพรรคการเมือง นายทุนทั้งนั้นเลย ไม่พร้อมจะเป็นนักต่อสู้”

   “แต่ทั้งหมดเสื้อแดงต้องเดินต่อ และนำด้วยแนวทางนโยบาย แกนนำคนไหนที่ไม่ยึดกุมนโยบาย แม้จะชื่อว่าเป็นแกนนำ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ตรงนี้มันต้องหลุดไป เพราะเราได้สัมมนาพอควรแล้วว่าเราจะยืนตามนี้ นำด้วยแนวทางนโยบายซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ถูกต้อง แต่ภาวะการนำอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะไม่ดีพอ แต่ถ้าเปลี่ยนจากแนวทางนี้ เช่น เราต้องการระบอบประชาธิปไตย อีกคนมาบอกว่า ไม่เอา จะเป็นสาธารณรัฐ ถามว่า คนเสื้อแดงเอาไหม ก็ไม่มีใครเอา หรือคุณบอกว่า ผมไม่เอาแล้วสันติวิธี ผมมีกองกำลังอาวุธ อาจจะมีคนส่วนหนึ่งเชื่อคุณ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอากับคุณ”

   ครูใหญ่นปช. บอกว่า การปรับขบวนข้างหน้า เสื้อแดงต้องหดด้านแพ้ ขยายด้านชนะ และ ก็จะเกิดการพ่ายแพ้แบบใหม่ และชัยชนะแบบใหม่ เชื่อว่ายุทธศาสตร์ของเสื้อแดงที่ผ่านมาถูกต้อง แต่ต้องคิดในสิ่งที่เป็นจริง อย่าทำอะไรเกินกว่าที่สังคมไทยเป็นอยู่ ควรเอาทีละขั้น ประเทศพร้อมตรงไหนเอาตรงนั้นก่อน

   ส่วนยุทธวิธี อาจอ่อนด้อยผิดพลาดบ้าง แต่อย่าคิดว่า ขังแกนนำแล้วการต่อสู้จะยุติ การนำชุดใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น อาจมีการเปลี่ยนผู้นำก็ได้

ชะตากรรม “หมอเหวง”-ชะตากรรมประเทศไทย
   คำถามที่ว่า ทำใจได้ไหมถ้า “หมอเหวง” ติดคุก 10 ปี กุนซือเสื้อแดง ย้อนกลับให้เราคิด
   “คำถามนี้ต้องมาตั้งคำถามกับประเทศไทยว่าเรายอมทำใจได้ไหมให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ สมมติหมอเหวงติดคุก 30 ปี คุณต้องตั้งคำถามกลับว่า แล้วสังคมไทยขณะนั้นจะเป็นอย่างไร คนไทยจะยอมให้ความอยุติธรรมแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อีกหรือ วันนี้ชะตากรรมหมอเหวงผูกกับชะตากรรมประเทศไทยไปแล้ว”
คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นไม่ว่าชุดปรองดองหรือ ปฏิรูปประเทศ เธอเชื่อว่า คณะกรรมการชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้

   “ประเทศ ไทยตอนนี้กำลังจะตาย หัวใจกำลังหยุดเต้น แต่เขากลับวินิจฉัยโรคผิด ให้ยาผิด ไปแก้ปัญหาน้ำหนักเกินเพราะคิดว่าเป็นปัญหาของหลายโรค เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ แต่วิกฤตการเมืองที่เป็นโรคเฉียบพลัน จะมาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำไม่ได้ ต้องแก้ที่เลิกพรก.ฉุกเฉิน เพราะรัฐบาลกำลังไล่ล่าคนที่เห็นต่างให้เป็นผู้ก่อการร้าย ล้มเจ้า ต้องเปิดสื่อให้เขามีความเห็นอิสระในขอบเขตกฎหมาย”
“วันนี้ ประชาชน เขาต้องการความเป็นธรรมทางการเมืองก่อน จากนั้นถึงค่อยยุบสภา เพราะเขาเดินขบวนมาเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ได้มาทวงเรื่องความยากจน ส่วนปัญหาโรคอ้วนมันต้องใช้เวลาอีกยาว แค่มาบตาพุดคุณยังตัดสินไม่ได้ เรื่อง 3 จี ประเทศลาวก็มีแล้ว”

ในอนาคต ขบวนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร?....
  “อย่าถามว่า คนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร หรือ มอบชะตากรรมประเทศให้คนเสื้อแดงฝ่ายเดียว ต้องถามว่า คนเสื้อขาวและสังคมไทยจะทำอะไร คุณจะปล่อยให้คนเสื้อแดง เสื้อเหลือง รบกัน แล้วคุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้ประเทศพังหรอ สังคมต้องสรุปบทเรียนคุณต้องรู้ว่า การที่เราเข้ามาอยู่ในกรุงเทพได้นานแสดงว่า คนกรุงเริ่มให้พื้นที่คนเสื้อแดงมากขึ้น

   “ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือ คุณทักษิณ จะทำอะไรที่เกินกว่าความเป็นจริงของสังคมไทยนั้น ไม่ได้ คุณมีสิทธิ์จะคิด จะฝัน ไม่ว่าอภิสิทธิ์ ทักษิณ หรือ ป๋า เสื้อแดงก็เหมือนกัน ถึงจะคิดฝันแต่ถ้ามันไม่สอดคล้องความเป็นจริง ซึ่งมันมีสามด้าน ด้านฝั่งตัวเอง ฝั่งที่เป็นผู้ปฏิปักษ์ และ ด้านที่ไม่ได้อยู่ข้างไหน

   ในส่วนของเสื้อแดง คุณมีศักยภาพแค่ไหน รัฐบาลมีแค่ไหน หรือ เสื้อเหลืองมีแค่ไหน ก็ต้องคิดกัน สมมติว่าเสื้อแดงคุณหวังจะยึดประเทศ ฝั่งฮาร์ดคอร์น่ะ ทำได้หรอ (เสียงเข้ม) คุณอยากทำหล่ะ เราก็รู้ ใครก็อยากได้ และทำได้ไหม จริงไหม หรืออีกฝั่งคิดจะทำลายคนเสื้อแดง คุณทำได้ไหม คุณจับแกนนำไปขังแล้วเสื้อแดงจะราบคาบหรือ มันอาจจะตรงข้ามนะ แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เขามีแกนนำคนอื่นอีก”

   “ดังนั้น สังคมต้องเลือกว่า จะให้ประเทศไปทางไหน ในส่วนของคนเสื้อแดงต้องทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ คนเสื้อเหลืองก็เหมือนกันถ้าคิดว่าถูกก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวเองถูก ไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ เอาปืนไปจี้หัว เอารองเท้าบู๊ตไปเหยียบปากเขาไว้ ถ้าถามพี่ พี่ต้องการแบบนั้น ไม่ได้ต้องการกองกำลังอาวุธมาล้ม เพราะรัฐบาลเขามีกองทัพ มีกองกำลังมากกว่า คุณสู้เขาไม่ได้ สู้ชนะใจประชาชนดีกว่าเพื่อให้เห็นว่า ประเทศต้องพัฒนา มิฉะนั้น เราไม่มีทางตามทัน”

   เธอสรุปว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้รูปการณ์จิตสำนึกที่ครอบงำสังคม เป็นอนุรักษ์นิยม โครงสร้างชั้นบนของสังคมที่ยังล้าหลัง และนี่คือตัวขัดแย้งที่ทำให้ประเทศก้าวต่อไปไม่ได้ตรงนี้ต้องมีการปลดปล่อย

เอ็กซเรย์หัวใจแกนนำในคุก
   ความเครียดที่แกนนำเสื้อแดงต้องใช้ชีวิตในคุก ไม่รู้ว่าจะถูกจองจำอีกนานแค่ไหน หลายคนต้องปรับตัวหากิจกรรมทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ ธิดา ถ่ายทอดภารกิจผู้ประสานงาน “แม่บ้านนอกเรือนจำ” ให้ฟัง

   “ภรรยาบางคนอย่างแก้ม (ภรรยาณัฐวุฒิ) เขาก็มีลูกเล็ก แต่เขาก็ช่วยเรื่องฝากของ แต่บางคนเขาอยู่ไกล อย่างภรรยานิสิต ขวัญชัย อยู่ต่างจังหวัด บางรายก็มีภรรยาหลายคนก็ไม่เป็นอันยุติ (หัวเราะร่วน) พี่ต้องเดินเข้าไปบอกเขาเหมือนกันว่า (ทำเสียงกระซิบ)….‘คุณอาจมีปัญหาเพราะมีคนอ้างเป็นภรรยา 5 คน’ หรือ บางคนก็มีปัญหาส่วนตัวกันบ้าง เราก็บอกอย่าไปคิดมาก เขาอยู่ข้างใน ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไปหาใครไม่ได้(หัวเราะ)” สำหรับชีวิตแกนนำโดยเฉพาะ “หมอเหวง” ไม่ได้เครียดเหมือนที่เป็นข่าว เพราะแดน 6 ที่อยู่เป็นแดนแห่งเสียงดนตรี

   “หมอ เหวงอยู่มีดนตรีนับว่าโชคดี เขาเลยถือโอกาส ฝึกกีตาร์จนนิ้วโป่ง เนี่ยโชว์นิ้วให้เราเห็นตอนไปเยี่ยม สมชาย ไพบูลย์ (แกนนำนปช.) ที่อยู่ด้วยกันก็เลยช่วยกันแต่งเพลง ณัฐวุฒิอยู่แดนอื่นก็ตามมาขอร้องเพลงบ้าง คุณวีระ(ได้ประกันตัวออกมาแล้ว)แกก็บอกว่า แหม..อยากจะขอมาตีฉิ่งฉับด้วย แต่วีระกับณัฐวุฒิส่วนใหญ่จะซ้อมมวย สองคนนี้เขาชอบ เอากางเกงนักมวยไปซ้อมจริงกับผู้ต้องขังคนอื่น”

   “คุณหมอไม่ได้ เครียดประเภทอ่านหนังสือจริงจังเหมือนที่ข่าวลง แต่เขาเล่นดนตรีหนักมาก ก็มีคนฝากของกินไปให้ แต่หมอเหวงบอกไม่ไหวเดี๋ยวจะอ้วนเพราะที่นั่นพอบ่าย 2 ต้องขึ้นห้องขัง แต่หมอเหวงเขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาไม่กินอะไร”

   ธิดา เล่าปนขำว่า ฝากหนังสือให้หมอเหวงอ่าน เช่น สามก๊ก หนังสืออัตชีวประวัติ แต่บางเล่มไม่กล้าฝาก กลัวจะมีปัญหากับเรือนจำ เช่น หนังสือชีวิตนักต่อสู้ที่ติดคุกอย่าง โฮจิมินห์ ส่วนณัฐวุฒิ เขาได้หนังสือ การต่อสู้ของเนลสัน เมนเดลล่า เขาอ่านแล้วชอบ แต่พี่ว่าอย่าเอาอย่างเลย มันติดคุกนานเกินไป แม้นพ.เหวงจะถือปืนต่อสู้ในป่ามา แต่ในวัย 60 เมื่อต้องติดอยู่ในคุกปนอยู่กับผู้ต้องขังรายอื่น ก็ท้อแท้เป็นธรรมดา ธิดาจึงต้องเป็นพลังใจให้สามี

   “ก็บอกเขาว่า ทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ เขาก็เป็นคน (เน้นเสียง) เหมือนเรา หลายคนอาจผิดพลาด ก็ให้หมอทำใจ ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาให้ได้”
ช่วง หนึ่งธิดาเล่าน้ำตาคลอ “สฤษดิ์แม้จะเป็นเผด็จการ ทำไม่ดี แต่เขาก็ยังมีความดีอยู่บ้าง คือ เขาให้เอานักโทษการเมืองอยู่ในแดนเฉพาะ แยกออกจากอาชญากรไม่เหมือนยุคอภิสิทธิ์ที่จับปนไปหมด เป็นรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่ารัฐบาลทหารเผด็จการแท้ๆ”
กระนั้น เธอยังสวมบทบาทพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจแกนนำทุกคนว่า ถ้าจะเป็นนักต่อสู้ต้องผ่านช่วงสำคัญนี้ให้ได้

   “คุณ วีระเขาเป็นคนใจใหญ่นะ เขาบอกพี่ รัฐบาลจะทำอะไรก็ทำ เพราะชีวิตเขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ส่วนเต้น(ณัฐวฒิ) เป็นคนที่น่าชมเชย แต่เขาขาดนิดเดียว คือ ไม่ได้ศึกษาทางหลักทฤษฎี เขาใช้ประสบการณ์และข้อดีตัวเขาขึ้นมา ถ้าเขาได้ศึกษาเรื่องบทเรียนทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจะดีมากขึ้น แต่ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาทำตรงนี้ เขาเตรียมพร้อมจะเป็นโฆษกออกรายการทีวีมากกว่า ไม่มีใครคิดหรอกว่า จะมารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงอาจเป็นข้ออ่อนและบทเรียนที่พี่บอกว่า ในชัยชนะมีความพ่ายแพ้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะเป็นมันชัยชนะที่คุณคุมมวลชนเป็นเรือนล้านและเรียกคนมาได้เป็นแสน แต่ขณะเดียวกันมันมีความพ่ายแพ้ มีข้อบกพร่อง

   “แต่ โดยรวมพี่ได้แต่บอกแกนนำทุกคนว่า คุณกำลังถูกทดสอบว่า จะเป็นนักต่อสู้ประชาชนได้ไหม ถ้าคุณจะเป็นได้ คุณต้องผ่านการถูกขังมาก่อน (หัวเราะ) แกนนำบางคนถามพี่ว่า มันต้องติดคุกหรือพี่ ... พี่บอกใช่ๆ (หัวเราะ) พี่บอกขวัญชัย อย่าร้องไห้ (ลากเสียง) เพราะขวัญชัยตอนแรกก็จะร้อง นิสิตก็เหมือนกัน เฮ้ย..นิสิตที่ให้เป็น ผอ.โรงเรียนนปช.ก็คืองานนี้แหละที่ต้องมาติดคุก นิสิตบอกงั้นหรอ..ก็ใช่สิ (หัวเราะ) คือ พี่ต้องพูดล้อเล่น ให้เขารู้ตัวว่า เมื่อเข้าสู่ปริมณฑลการต่อสู้ของประชาชนแล้ว จะคิดแบบเก่าไม่ได้ และเขาต้องยินดีกับบทบาทที่ต้องถูกติดคุก ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้”

   “พี่ บอกเขา เวลาทำงานภาคประชาชน คุณมองแต่ด้านรุ่งโรจน์ที่ได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน ไม่ได้ นี่ไงกำลังถูกทดสอบ ถ้าเป็นนักต่อสู้ คุณต้องพร้อม 1. ตาย 2. ติดคุก คุณจะผ่านไหม พี่ให้กำลังใจอย่างนี้ เพราะเขาคิดว่า มันง่ายๆ หมูๆ พาคนมาประท้วงยุบสภาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็กลับบ้าน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ได้กลับบ้าน ยุบสภาก็ไม่ได้ แต่มันเข้าตาราง”

   “ขนาดหมอเหวงผ่านมาเยอะ ก็ยังไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะง่ายนะ ทุกวันนี้พี่ให้กำลังใจเขา ไม่ใช่ให้กำลังใจอดทนอย่างเดียว เราบอกว่าคุกมันขังคุณได้แต่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเราต้องไม่ถูกทำลาย มันขังเราไม่ใช่ชัยชนะ แต่ถ้าเมื่อไร มันทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของเรา นั่นแหละมันได้ชัยชนะ

หมอเหวงฟังแล้วเป็นไง?....
   “แล้วคุณฟังแล้ว รู้สึกอย่างไรหล่ะ
สำหรับ “หมอเหวง” ธิดา เล่าว่า หลังจาก ออกจากป่าสมัยในฐานะคนเดือนตุลา ในช่วงรัฐบาลเปรม นับแต่นั้นจนถึงเหตุการณ์เสื้อแดง “หมอเหวง” ต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สามแล้ว

   “ตอนเหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้าน ป๋า(พล.อ.เปรม ติณสูลานท์) อยู่เรือนจำ 10 วัน เราเข้ากันเอง เขาให้ประกันไม่ยอมประกัน พี่บอกบ้าหรือไง ..ตู่ (จตุพร) และสุดท้ายหมอเหวง กับ อาจารย์มานิตย์ จิตจันทร์กลับ บอกว่า เป็นคนแก่ จึงขอออกมาก่อน ส่วนรอบสองปีที่แล้ว อยู่ค่ายตชด. ไม่ได้เข้าเรือนจำ แต่รอบนี้ดูจะไม่ได้ออกมา ขนาดก่อแก้ว เขายังไม่ยอมให้ออกมาเลย มันประหลาดไหมบอกว่า กลัวหนี คนที่จะหนีมันหนีไปหมดแล้ว พวกนี้มันพวกไม่หนีอยู่แล้ว ออกมาก่อนแล้วยังเข้าไปมอบตัวนะ คุณวีระ ก่อแก้ว หมอเหวง ที่ออกมาก่อนจากเวทีตอนนั้น เพราะมันกำลังอยู่ในช่วงที่มั่ว คือ แค่หลบอันตรายเท่านั้นเอง

แล้วทำไม “หมอเหวง”ไม่หนีเหมือน จรัล ดิษฐาอภิชัย?
...ก็ เราไม่คิดจะหนี เรามีลูก มีครอบครัว มีงานและอีกอย่างเชื่อว่า เราไม่ได้ทำผิด ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้าย สนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธ เราเพียงแต่เอาคนมายุบสภา แต่พอมันมีเรื่องประกาศ พรก. เราก็สู้กันไป ก็คิดแค่นั้น ด้านหนึ่งอาจมองว่า พลาดไปก็ได้ ไม่คิดว่า เขาจะเอาตายขนาดนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ก่อแก้ว เต้น ก็มีลูกน่ารัก ทุกคนไม่มีใครคิดใช้กำลังอาวุธและสู้กับใครแล้วต้องหนี

แต่แรมโบ้กับกีร์ไปเลย...
“ที่ เขาไปเพราะกลัวถูกเล่นงาน โกรธแค้นกันมาก เพื่อความปลอดภัยจึงไปก่อน และถ้าพรรคพวกไม่เป็นไรก็อาจจะกลับมา แต่ถ้าพรรคพวกถูกกระทำอย่างนี้ มันก็คงยากที่เขาจะกลับมา ฉะนั้น ก็ไม่รู้... อยู่ที่ว่า ถ้าคิดแบบโบราณ คิดว่า เหมือนเกมที่เขาเรียกว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นกบฎ ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร แต่ถ้าคิดแบบทฤษฎีสมัยใหม่ ซีโร่ซัมเกม คือ มันต้องบวกลบกันไปข้างเป็นศูนย์ คือ มึงต้องตายไปข้าง (หัวเราะ) นี่ก็เป็นวิธีคิดของพวกเขาแบบนั้น ไม่ได้คิดตามหลักการของคนยุคใหม่ ที่คนเราสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะได้”

ครูใหญ่โรงเรียนแดงสองยุค
   ธิดา เป็นคนเดือนตุลา เธอบอกเริ่มเข้าป่าปี 2519 ทั้งที่ไม่ต้องเข้าก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องหนี แต่เข้าเพราะแฟชั่น ที่เห็นนักศึกษาหนีเข้าป่าไปเยอะ เธอเล่าชีวิตช่วงนั้นว่า
“ตอนนั้น เพิ่งจบเป็นอาจารย์เด็ก จบปริญญาโท microbiology ที่คณะเภสัช จุฬาฯ เราสงสาร เลยตามเข้าป่าไปดู พี่เลยไปเปิดโรงเรียนแพทย์ในป่าเยอะเลย ตอนนั้นพี่ไปภาคใต้ก่อนและก็ดูงานพรรคคอมมิวนิสต์มลายู จากนั้นไปภาคเหนือ เดินไปเดินมาฝั่งลาวไทย ช่วงนั้นก็ปิดชายแดนอีก พี่ก็ไปอีสานก็ไปเจอหมอเหวงที่นั่น เข้าป่าทั้งหมด 7 ปี ถือว่าผ่านชีวิตลำบากในช่วงนั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะเป็นช่วงต้นของชีวิต”

   จากเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ในป่า สู่เสื้อแดงนปช. หน้าที่หลักที่นปช.มอบให้คือ เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนนปช. ที่แผ่เป็นกิ่งก้านหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ เธอบอกว่า บรรยายในโรงเรียนเรื่องนโยบาย นปช. ทั่วไป แต่ช่วงหลังตั้งโรงเรียนไม่ทัน จึงมีพวกเสื้อแดงด้วยกันแอบอ้างไปทำโรงเรียนนปช.ปลอมกันขึ้นมาเยอะ ทำโดยไปเชิญคนนั้นคนนี้ไปพูดเท่านั้น

   “พอเปิดโรงเรียนนปช.คนก็สมัคร ล้นหลาม ตอนนั้น อดิศร (เพียงเกษ) ก็มาวิ่งขอฝากคนเข้าโรงเรียนนปช.เลย แทนที่จะฝากเข้าสวนกุหลาบ แต่พอมาเปิดเยอะ ปลอมขึ้นมา คือ พูดความจริงไม่หมด ช่วงหลังพี่ก็ด่าซิ” เธอหัวเราะ

จาก Thaienews Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 8/03/2010 07:53:00 ก่อนเที่ยง

เปิดใจเมียหมอเหวง แง้มคุกแกนนำเสื้อแดง

   รับบทหนักคอยประสานแกนนำนปช.ในเรือนจำเพื่อต่อสู้คดีก่อการร้าย
รวมถึงปัญหาจุกจิกสารพัด ทั้ง อาหารการกิน กำลังใจ ระหว่างเยี่ยม



   “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ไม่ใช่แค่ศรีภริยารุ่นเดอะจากภาพที่เห็นเดินตามนพ.เหวง โตจิราการ ต้อยๆ แต่บทบาทลึกของเธอเป็นทั้งแกนนำนปช. เป็นองค์ความรู้ขององค์กรเสื้อแดง เป็น “ครูใหญ่โรงเรียน นปช.” และเป็นคนเดือนตุลา ที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆ เคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

   หลังแกนนำถูกคุมขังสองเดือน ภารกิจประจำวันของธิดาจึงต้องหมุนเวียนเปลี่ยนตาม เธอออกจากบ้าน 9 โมงครึ่งทุกวันเพื่อไปเยี่ยม “หมอเหวง” สามีคู่ทุกข์คู่ยาก และเหล่าแกนนำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

   “ตอนนี้หมอ เหวงเขาทำใจอาจต้องติดยาวหลายสิบปีและคิดว่า รายการนี้ไม่หมู นี่อย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะ คดีก่อการร้ายมันเป็นเรื่องที่เขาเอาจริง ทั้งที่มันเป็นนิยายชวนหัวที่แต่งขึ้นให้สมจริง”

   “เวลา คุยกับหมอเหวงส่วนใหญ่ได้คุยเพียงไม่กี่นาที เพราะมีมวลชนมาเยี่ยมเยอะ เราจะพูดเรื่องการต่อสู้คดี เพราะเรา 11 คน(แกนนำและการ์ดนปช.ในคุก) ความคิดอาจจะต่างกันบ้าง อีกเรื่องคือ เล่าข่าวให้เขาฟัง หรือมีอะไรที่พวกเขาคุยกัน ก็มาบอกเรา เช่น อยากให้ทนายทำอะไรบ้าง เนื่องจากนปช.มีปัญหาถูกดำเนินคดีมาก เราจึงต้องการความช่วยเหลือที่มากมาย ทนายจำนวนหนึ่งอาจคิดไตร่ตรองไม่รอบคอบ พี่เลยแนะนำให้เปิดโอกาสให้ลูกความคุยด้วย”

   สนทนากันที่ “คลีนิครัชดา” ของ “หมอเหวง” ย่านเกษตร ในวันที่ดูเงียบเหงา แม้แต่ธิดาเองก็บอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนที่เคยมาช่วยงานคลีนิค พอหลังเหตุชุมนุมจบลง ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวบรรยากาศการไล่ล่า

   สำหรับ คดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอจะส่งฟ้องแกนนำ เธอว่า แกนนำทำใจแล้วว่าคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และคดีนี้ก็ฟังไม่ขึ้น นโยบายนปช.เน้นสันติวิธี หากย้อนไปดูช่วงชุมนุมก็จะเห็นว่า “หมอเหวง”ยังโจมตีคนที่ใช้อาวุธที่จะเข้ามาในม็อบด้วย

   “หมอ เหวงยังบอกว่า ถ้าตำรวจมาจับก็จับไปซิ จนหลายครั้งพี่ยังเคยบอกว่า คุณพ่อต้องระวังนะ คุณจะโดนยิงหัวก่อน จากพวกกันเองนี่แหละ แกนนำทั้งหมดจริงๆแล้ว ไม่ต้องการให้มีกองกำลังอาวุธอะไรเข้ามาแอบแฝงอยู่เพราะมันจะทำให้พวกเขา ลำบากมาก ตอนนั้นเราไล่จริงๆ ด้วย บางคนก็บอกว่า ถึงไล่กูก็ไม่ไป (หัวเราะ)เขาพูดอย่างนี้กันเลย จำนวนหนึ่งที่เราได้ยินนะ และจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น”

“ก่อการร้าย” นิยายชวนหัว
แกน นำนปช.สายพิราบผู้นี้ บอกว่า บางเรื่องไม่อยากพูดถึง เพราะเกี่ยวข้องกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่หากจะสรุปบทเรียนให้ขบวนการเดินไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องพาดพิงบ้าง
“สิ่งที่เขาเคยพูดเรื่องแก้วสามประการ มีกองกำลังอาวุธ มันไม่ใช่แนวทางของเรา นั่นเป็นเรื่องปฏิวัติ นี่เป็นคำพูดแบบคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน คุณจะเอากองกำลังอะไรมาสู้กับ กองกำลังอาวุธของรัฐบาล คุณจะต้องใช้ทหารขนาดไหน คุณพร้อมหรือที่จะไปทำแบบพวก 3 จ.ภาคใต้ แล้วใครจะมายืนอยู่เคียงข้างคุณ ฉะนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ มันเป็นเรื่องของคนที่ต้องการสร้างความสำคัญจึงพูดขึ้นมา และคนที่ไม่รู้เรื่องบางคนอาจจะขานรับ ทำให้คนสงสัยขบวนการของคุณ”

   “แกน นำอย่างเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)หรือ ก่อแก้ว (พิกุลทอง)ก็มีลูกเล็กๆ เขาไม่พร้อมต่อสู้ด้วยอาวุธ หมอเหวงก็เหมือนกัน มีคลินิคที่ต้องดูแล ถ้าคนที่จะต่อสู้ด้วยอาวุธก็ต้องเป็นอีกแบบ ไม่ใช่แบบนี้ และพวกเราบางส่วนก็เคยผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธในป่ามาแล้ว ยิ่งปฏิเสธทุกคนเลย เรารู้ว่า การต่อสู้ด้วยอาวุธนั้น คืออะไรเราผ่านมาแล้ว รู้ว่า แต่นี่มันไม่ใช่ มันอาจมีผู้ถืออาวุธจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้กับภาคประชาชน ต้องการให้ค่าตัวเองขึ้นมา”

   อดีตที่เป็นคน เดือนตุลาเข้าป่ามา 8 ปี ธิดา บอกว่า ช่วงนั้นได้เรียนรู้เรื่องสำคัญในป่ามากมาย โดยเฉพาะการอยู่ร่วมประชุมเรื่องใหญ่ๆในสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุด ในป่า จนมาถึงการร่วมประชุมแกนนำนปช.ก็ได้แสดงจุดยืนในมติสำคัญ แม้ได้เตือนไปหลายเรื่อง แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ

   “พี่พูดในเชิงหลักการถึงปัญหาแนวคิดเรื่องการยุติ การชุมนุม และการมองขบวนเราอย่างไร เราต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูก ถ้าเราไปปล่อยให้มีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเข้ามา แม้แต่เพียงนิดเดียว เราจะเสียทั้งหมด ฉะนั้น เราจึงไม่อนุญาตให้สิ่งที่ผิดเข้ามา ส่วนคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ไปรับฟังแล้วไม่มาแก้ปัญหา มันไม่ได้”

   เธอเล่าว่า ภาย ในแกนนำ นปช. มีการต่อสู้ทางความคิดสูงมาก ปีกหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นสายเหยี่ยว “แรมโบ้- กีร์” ที่หนีลับ กับ ปีกคนเดือนตุลา “เหวง- วิสา –จรัล” ซึ่งผ่านการต่อสู้ในป่ามาก่อน ดังนั้น การจะคุยกันให้เป็นเอกภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

   “เรายิงคำถามกันว่า คุณเป็นอะไร เป็นนักปฏิวัติ หรือเป็นนักต่อสู้ในระบบ เราไม่ใช่นักปฏิวัตินะ ฉะนั้นไอ้ทฤษฎีแก้วสามดวง อย่าไปให้โกหกใส่ แล้วไปเชื่อ พี่ก็พูดในโรงเรียนนปช.ตลอด และที่ประชุมแกนนำ เมื่อมีโอกาสก็พูดทุกครั้งว่า อย่าไปเข้าใจผิด คนที่ถืออาวุธบางคน หรือ จำนวนหนึ่งต้องการสร้างความสำคัญให้กับตัวเองว่า ในขบวนต้องมีพวกเขานะ เราบอกว่า ไม่เห็นต้องการเลย ไปเลย ไปไกลๆ ตำรวจจะมาจับ ก็มาจับเลย”

แต่ฝั่งนี้ก็อ้างมาจากคุณทักษิณสั่ง? ...
“เรา ไม่รู้จริง เพราะขนาดเสธ.แดงพูดครั้งหลัง เขายังบอกเลยว่า เขาพูด แต่คุณทักษิณฟังเฉยๆ คือ ขณะนี้อีกคนอยู่ต่างประเทศ อีกคนตายไปแล้ว แล้วเราจะไปว่าใคร อาจจะไม่ใช่เสธ.แดงคนเดียวก็ได้ อาจมีคนอื่น ที่เราไม่รู้ แต่พูดตรงๆ พวกเราไม่เกี่ยว ดังนั้นแม้ดีเอสไอจะสร้างนิยายก่อการร้ายขึ้นมาอย่างไร ความเป็นจริงมันไม่มี

   ธิดาวิพากษ์ตรงๆ การที่นปช.ถูกมองว่า มีทั้งสายเหยี่ยว สายพิราบ หรือ พวกหัวดื้อในหมู่แกนนำแม้เป็นความหลากหลาย แต่กลับเป็นจุดอ่อนมาก
“เดิม เรานำโดยสามเกลอ ต่อมาขยายใหญ่ เป็นการนำรวมหมู่ ซึ่งก็มีข้อเสีย เพราะเรามาจากคนละทิศกัน พี่ก็ว่าเขา ทำไมพวกคุณ(แกนนำ) ไม่เข้าโรงเรียนนปช.เหมือนประชาชนบ้าง แต่นี่ก็เหมือนนักเรียนเกเร มีข้อแก้ต้วไปเรื่อย”

   นปช.เรามีระเบียบ มีวินัยเพราะตลอดเวลา กระจกที่เซ็นทรัลเวิลด์ก็ไม่มีรอยถลอก แต่พอหลังจากหมดการควบคุมของแกนนำเท่านั้นมันก็จบ
อย่าง ที่บอก มันไม่ใช่เรื่องง่าย ขบวนการนี้มาจากมวลชนที่เป็นเสรีชน กลุ่มต่างๆ มาจากหลายพวก การจะทำให้เกิดเอกภาพ การมาด้วยกันก็ไม่ใช่ง่าย ที่ยากที่สุดคือ ตอนให้สลายนี่แหละ มีคนพร้อมที่จะเทคโอเวอร์เลยนะ ตอนนั้นหล่ะ นอกจากนั้นก็อาจจะมีพวกหนึ่งแตกไปเห็นด้วยก็ได้ และคุณจะปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
บทเรียนเสื้อแดง “ใหญ่แต่ขาดเอกภาพ”

   อย่างไรก็ตาม ธิดา มองว่า ในความพ่ายแพ้ของเสื้อแดงก็มีชัยชนะ เหตุการณ์สงกรานต์เลือด มีคนบอกว่า เสื้อแดงพ่ายแพ้ ที่สุดคนเสื้อแดงก็เติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ความเติบใหญ่จนมากเกินไป ก็เกิดจุดอ่อน

   “เป็นการ เติบใหญ่ที่ขาดประสิทธิภาพและขาดเอกภาพ กระทั่งเราไม่สามารถยกระดับ แม้แต่แกนนำด้วยกันให้ทันกับงานที่มากขึ้น เราไม่ได้ผ่านการตระเตรียม มารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงเป็นบทเรียนที่พี่บอกว่า แม้เราพยายามทำ แต่มันยังเป็นสไตล์แบบ... พวกเขามาจากพรรคการเมือง นายทุนทั้งนั้นเลย ไม่พร้อมจะเป็นนักต่อสู้”

   “แต่ทั้งหมดเสื้อแดงต้องเดินต่อ และนำด้วยแนวทางนโยบาย แกนนำคนไหนที่ไม่ยึดกุมนโยบาย แม้จะชื่อว่าเป็นแกนนำ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ตรงนี้มันต้องหลุดไป เพราะเราได้สัมมนาพอควรแล้วว่าเราจะยืนตามนี้ นำด้วยแนวทางนโยบายซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ถูกต้อง แต่ภาวะการนำอาจจะผิดพลาดหรืออาจจะไม่ดีพอ แต่ถ้าเปลี่ยนจากแนวทางนี้ เช่น เราต้องการระบอบประชาธิปไตย อีกคนมาบอกว่า ไม่เอา จะเป็นสาธารณรัฐ ถามว่า คนเสื้อแดงเอาไหม ก็ไม่มีใครเอา หรือคุณบอกว่า ผมไม่เอาแล้วสันติวิธี ผมมีกองกำลังอาวุธ อาจจะมีคนส่วนหนึ่งเชื่อคุณ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอากับคุณ”

   ครูใหญ่นปช. บอกว่า การปรับขบวนข้างหน้า เสื้อแดงต้องหดด้านแพ้ ขยายด้านชนะ และ ก็จะเกิดการพ่ายแพ้แบบใหม่ และชัยชนะแบบใหม่ เชื่อว่ายุทธศาสตร์ของเสื้อแดงที่ผ่านมาถูกต้อง แต่ต้องคิดในสิ่งที่เป็นจริง อย่าทำอะไรเกินกว่าที่สังคมไทยเป็นอยู่ ควรเอาทีละขั้น ประเทศพร้อมตรงไหนเอาตรงนั้นก่อน

   ส่วนยุทธวิธี อาจอ่อนด้อยผิดพลาดบ้าง แต่อย่าคิดว่า ขังแกนนำแล้วการต่อสู้จะยุติ การนำชุดใหม่ก็ต้องเกิดขึ้น อาจมีการเปลี่ยนผู้นำก็ได้

ชะตากรรม “หมอเหวง”-ชะตากรรมประเทศไทย
   คำถามที่ว่า ทำใจได้ไหมถ้า “หมอเหวง” ติดคุก 10 ปี กุนซือเสื้อแดง ย้อนกลับให้เราคิด
   “คำถามนี้ต้องมาตั้งคำถามกับประเทศไทยว่าเรายอมทำใจได้ไหมให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ สมมติหมอเหวงติดคุก 30 ปี คุณต้องตั้งคำถามกลับว่า แล้วสังคมไทยขณะนั้นจะเป็นอย่างไร คนไทยจะยอมให้ความอยุติธรรมแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อีกหรือ วันนี้ชะตากรรมหมอเหวงผูกกับชะตากรรมประเทศไทยไปแล้ว”
คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นไม่ว่าชุดปรองดองหรือ ปฏิรูปประเทศ เธอเชื่อว่า คณะกรรมการชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้

   “ประเทศ ไทยตอนนี้กำลังจะตาย หัวใจกำลังหยุดเต้น แต่เขากลับวินิจฉัยโรคผิด ให้ยาผิด ไปแก้ปัญหาน้ำหนักเกินเพราะคิดว่าเป็นปัญหาของหลายโรค เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ แต่วิกฤตการเมืองที่เป็นโรคเฉียบพลัน จะมาแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำไม่ได้ ต้องแก้ที่เลิกพรก.ฉุกเฉิน เพราะรัฐบาลกำลังไล่ล่าคนที่เห็นต่างให้เป็นผู้ก่อการร้าย ล้มเจ้า ต้องเปิดสื่อให้เขามีความเห็นอิสระในขอบเขตกฎหมาย”
“วันนี้ ประชาชน เขาต้องการความเป็นธรรมทางการเมืองก่อน จากนั้นถึงค่อยยุบสภา เพราะเขาเดินขบวนมาเรียกร้องเรื่องนี้ ไม่ได้มาทวงเรื่องความยากจน ส่วนปัญหาโรคอ้วนมันต้องใช้เวลาอีกยาว แค่มาบตาพุดคุณยังตัดสินไม่ได้ เรื่อง 3 จี ประเทศลาวก็มีแล้ว”

ในอนาคต ขบวนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร?....
  “อย่าถามว่า คนเสื้อแดงจะปรับตัวอย่างไร หรือ มอบชะตากรรมประเทศให้คนเสื้อแดงฝ่ายเดียว ต้องถามว่า คนเสื้อขาวและสังคมไทยจะทำอะไร คุณจะปล่อยให้คนเสื้อแดง เสื้อเหลือง รบกัน แล้วคุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้ประเทศพังหรอ สังคมต้องสรุปบทเรียนคุณต้องรู้ว่า การที่เราเข้ามาอยู่ในกรุงเทพได้นานแสดงว่า คนกรุงเริ่มให้พื้นที่คนเสื้อแดงมากขึ้น

   “ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือ คุณทักษิณ จะทำอะไรที่เกินกว่าความเป็นจริงของสังคมไทยนั้น ไม่ได้ คุณมีสิทธิ์จะคิด จะฝัน ไม่ว่าอภิสิทธิ์ ทักษิณ หรือ ป๋า เสื้อแดงก็เหมือนกัน ถึงจะคิดฝันแต่ถ้ามันไม่สอดคล้องความเป็นจริง ซึ่งมันมีสามด้าน ด้านฝั่งตัวเอง ฝั่งที่เป็นผู้ปฏิปักษ์ และ ด้านที่ไม่ได้อยู่ข้างไหน

   ในส่วนของเสื้อแดง คุณมีศักยภาพแค่ไหน รัฐบาลมีแค่ไหน หรือ เสื้อเหลืองมีแค่ไหน ก็ต้องคิดกัน สมมติว่าเสื้อแดงคุณหวังจะยึดประเทศ ฝั่งฮาร์ดคอร์น่ะ ทำได้หรอ (เสียงเข้ม) คุณอยากทำหล่ะ เราก็รู้ ใครก็อยากได้ และทำได้ไหม จริงไหม หรืออีกฝั่งคิดจะทำลายคนเสื้อแดง คุณทำได้ไหม คุณจับแกนนำไปขังแล้วเสื้อแดงจะราบคาบหรือ มันอาจจะตรงข้ามนะ แล้วคุณไม่คิดหรือว่า เขามีแกนนำคนอื่นอีก”

   “ดังนั้น สังคมต้องเลือกว่า จะให้ประเทศไปทางไหน ในส่วนของคนเสื้อแดงต้องทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ คนเสื้อเหลืองก็เหมือนกันถ้าคิดว่าถูกก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวเองถูก ไม่ใช่ใช้กำลังบังคับ เอาปืนไปจี้หัว เอารองเท้าบู๊ตไปเหยียบปากเขาไว้ ถ้าถามพี่ พี่ต้องการแบบนั้น ไม่ได้ต้องการกองกำลังอาวุธมาล้ม เพราะรัฐบาลเขามีกองทัพ มีกองกำลังมากกว่า คุณสู้เขาไม่ได้ สู้ชนะใจประชาชนดีกว่าเพื่อให้เห็นว่า ประเทศต้องพัฒนา มิฉะนั้น เราไม่มีทางตามทัน”

   เธอสรุปว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้รูปการณ์จิตสำนึกที่ครอบงำสังคม เป็นอนุรักษ์นิยม โครงสร้างชั้นบนของสังคมที่ยังล้าหลัง และนี่คือตัวขัดแย้งที่ทำให้ประเทศก้าวต่อไปไม่ได้ตรงนี้ต้องมีการปลดปล่อย

เอ็กซเรย์หัวใจแกนนำในคุก
   ความเครียดที่แกนนำเสื้อแดงต้องใช้ชีวิตในคุก ไม่รู้ว่าจะถูกจองจำอีกนานแค่ไหน หลายคนต้องปรับตัวหากิจกรรมทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ ธิดา ถ่ายทอดภารกิจผู้ประสานงาน “แม่บ้านนอกเรือนจำ” ให้ฟัง

   “ภรรยาบางคนอย่างแก้ม (ภรรยาณัฐวุฒิ) เขาก็มีลูกเล็ก แต่เขาก็ช่วยเรื่องฝากของ แต่บางคนเขาอยู่ไกล อย่างภรรยานิสิต ขวัญชัย อยู่ต่างจังหวัด บางรายก็มีภรรยาหลายคนก็ไม่เป็นอันยุติ (หัวเราะร่วน) พี่ต้องเดินเข้าไปบอกเขาเหมือนกันว่า (ทำเสียงกระซิบ)….‘คุณอาจมีปัญหาเพราะมีคนอ้างเป็นภรรยา 5 คน’ หรือ บางคนก็มีปัญหาส่วนตัวกันบ้าง เราก็บอกอย่าไปคิดมาก เขาอยู่ข้างใน ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไปหาใครไม่ได้(หัวเราะ)” สำหรับชีวิตแกนนำโดยเฉพาะ “หมอเหวง” ไม่ได้เครียดเหมือนที่เป็นข่าว เพราะแดน 6 ที่อยู่เป็นแดนแห่งเสียงดนตรี

   “หมอ เหวงอยู่มีดนตรีนับว่าโชคดี เขาเลยถือโอกาส ฝึกกีตาร์จนนิ้วโป่ง เนี่ยโชว์นิ้วให้เราเห็นตอนไปเยี่ยม สมชาย ไพบูลย์ (แกนนำนปช.) ที่อยู่ด้วยกันก็เลยช่วยกันแต่งเพลง ณัฐวุฒิอยู่แดนอื่นก็ตามมาขอร้องเพลงบ้าง คุณวีระ(ได้ประกันตัวออกมาแล้ว)แกก็บอกว่า แหม..อยากจะขอมาตีฉิ่งฉับด้วย แต่วีระกับณัฐวุฒิส่วนใหญ่จะซ้อมมวย สองคนนี้เขาชอบ เอากางเกงนักมวยไปซ้อมจริงกับผู้ต้องขังคนอื่น”

   “คุณหมอไม่ได้ เครียดประเภทอ่านหนังสือจริงจังเหมือนที่ข่าวลง แต่เขาเล่นดนตรีหนักมาก ก็มีคนฝากของกินไปให้ แต่หมอเหวงบอกไม่ไหวเดี๋ยวจะอ้วนเพราะที่นั่นพอบ่าย 2 ต้องขึ้นห้องขัง แต่หมอเหวงเขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาไม่กินอะไร”

   ธิดา เล่าปนขำว่า ฝากหนังสือให้หมอเหวงอ่าน เช่น สามก๊ก หนังสืออัตชีวประวัติ แต่บางเล่มไม่กล้าฝาก กลัวจะมีปัญหากับเรือนจำ เช่น หนังสือชีวิตนักต่อสู้ที่ติดคุกอย่าง โฮจิมินห์ ส่วนณัฐวุฒิ เขาได้หนังสือ การต่อสู้ของเนลสัน เมนเดลล่า เขาอ่านแล้วชอบ แต่พี่ว่าอย่าเอาอย่างเลย มันติดคุกนานเกินไป แม้นพ.เหวงจะถือปืนต่อสู้ในป่ามา แต่ในวัย 60 เมื่อต้องติดอยู่ในคุกปนอยู่กับผู้ต้องขังรายอื่น ก็ท้อแท้เป็นธรรมดา ธิดาจึงต้องเป็นพลังใจให้สามี

   “ก็บอกเขาว่า ทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ เขาก็เป็นคน (เน้นเสียง) เหมือนเรา หลายคนอาจผิดพลาด ก็ให้หมอทำใจ ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาให้ได้”
ช่วง หนึ่งธิดาเล่าน้ำตาคลอ “สฤษดิ์แม้จะเป็นเผด็จการ ทำไม่ดี แต่เขาก็ยังมีความดีอยู่บ้าง คือ เขาให้เอานักโทษการเมืองอยู่ในแดนเฉพาะ แยกออกจากอาชญากรไม่เหมือนยุคอภิสิทธิ์ที่จับปนไปหมด เป็นรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่ารัฐบาลทหารเผด็จการแท้ๆ”
กระนั้น เธอยังสวมบทบาทพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจแกนนำทุกคนว่า ถ้าจะเป็นนักต่อสู้ต้องผ่านช่วงสำคัญนี้ให้ได้

   “คุณ วีระเขาเป็นคนใจใหญ่นะ เขาบอกพี่ รัฐบาลจะทำอะไรก็ทำ เพราะชีวิตเขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ส่วนเต้น(ณัฐวฒิ) เป็นคนที่น่าชมเชย แต่เขาขาดนิดเดียว คือ ไม่ได้ศึกษาทางหลักทฤษฎี เขาใช้ประสบการณ์และข้อดีตัวเขาขึ้นมา ถ้าเขาได้ศึกษาเรื่องบทเรียนทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนจะดีมากขึ้น แต่ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาทำตรงนี้ เขาเตรียมพร้อมจะเป็นโฆษกออกรายการทีวีมากกว่า ไม่มีใครคิดหรอกว่า จะมารับผิดชอบขบวนการประชาชนที่ใหญ่โตขนาดนี้ นี่จึงอาจเป็นข้ออ่อนและบทเรียนที่พี่บอกว่า ในชัยชนะมีความพ่ายแพ้อยู่ระดับหนึ่ง เพราะเป็นมันชัยชนะที่คุณคุมมวลชนเป็นเรือนล้านและเรียกคนมาได้เป็นแสน แต่ขณะเดียวกันมันมีความพ่ายแพ้ มีข้อบกพร่อง

   “แต่ โดยรวมพี่ได้แต่บอกแกนนำทุกคนว่า คุณกำลังถูกทดสอบว่า จะเป็นนักต่อสู้ประชาชนได้ไหม ถ้าคุณจะเป็นได้ คุณต้องผ่านการถูกขังมาก่อน (หัวเราะ) แกนนำบางคนถามพี่ว่า มันต้องติดคุกหรือพี่ ... พี่บอกใช่ๆ (หัวเราะ) พี่บอกขวัญชัย อย่าร้องไห้ (ลากเสียง) เพราะขวัญชัยตอนแรกก็จะร้อง นิสิตก็เหมือนกัน เฮ้ย..นิสิตที่ให้เป็น ผอ.โรงเรียนนปช.ก็คืองานนี้แหละที่ต้องมาติดคุก นิสิตบอกงั้นหรอ..ก็ใช่สิ (หัวเราะ) คือ พี่ต้องพูดล้อเล่น ให้เขารู้ตัวว่า เมื่อเข้าสู่ปริมณฑลการต่อสู้ของประชาชนแล้ว จะคิดแบบเก่าไม่ได้ และเขาต้องยินดีกับบทบาทที่ต้องถูกติดคุก ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้”

   “พี่ บอกเขา เวลาทำงานภาคประชาชน คุณมองแต่ด้านรุ่งโรจน์ที่ได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน ไม่ได้ นี่ไงกำลังถูกทดสอบ ถ้าเป็นนักต่อสู้ คุณต้องพร้อม 1. ตาย 2. ติดคุก คุณจะผ่านไหม พี่ให้กำลังใจอย่างนี้ เพราะเขาคิดว่า มันง่ายๆ หมูๆ พาคนมาประท้วงยุบสภาได้ก็ได้ ไม่ได้ก็กลับบ้าน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ได้กลับบ้าน ยุบสภาก็ไม่ได้ แต่มันเข้าตาราง”

   “ขนาดหมอเหวงผ่านมาเยอะ ก็ยังไม่ใช่ว่าครั้งนี้จะง่ายนะ ทุกวันนี้พี่ให้กำลังใจเขา ไม่ใช่ให้กำลังใจอดทนอย่างเดียว เราบอกว่าคุกมันขังคุณได้แต่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเราต้องไม่ถูกทำลาย มันขังเราไม่ใช่ชัยชนะ แต่ถ้าเมื่อไร มันทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของเรา นั่นแหละมันได้ชัยชนะ

หมอเหวงฟังแล้วเป็นไง?....
   “แล้วคุณฟังแล้ว รู้สึกอย่างไรหล่ะ
สำหรับ “หมอเหวง” ธิดา เล่าว่า หลังจาก ออกจากป่าสมัยในฐานะคนเดือนตุลา ในช่วงรัฐบาลเปรม นับแต่นั้นจนถึงเหตุการณ์เสื้อแดง “หมอเหวง” ต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สามแล้ว

   “ตอนเหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้าน ป๋า(พล.อ.เปรม ติณสูลานท์) อยู่เรือนจำ 10 วัน เราเข้ากันเอง เขาให้ประกันไม่ยอมประกัน พี่บอกบ้าหรือไง ..ตู่ (จตุพร) และสุดท้ายหมอเหวง กับ อาจารย์มานิตย์ จิตจันทร์กลับ บอกว่า เป็นคนแก่ จึงขอออกมาก่อน ส่วนรอบสองปีที่แล้ว อยู่ค่ายตชด. ไม่ได้เข้าเรือนจำ แต่รอบนี้ดูจะไม่ได้ออกมา ขนาดก่อแก้ว เขายังไม่ยอมให้ออกมาเลย มันประหลาดไหมบอกว่า กลัวหนี คนที่จะหนีมันหนีไปหมดแล้ว พวกนี้มันพวกไม่หนีอยู่แล้ว ออกมาก่อนแล้วยังเข้าไปมอบตัวนะ คุณวีระ ก่อแก้ว หมอเหวง ที่ออกมาก่อนจากเวทีตอนนั้น เพราะมันกำลังอยู่ในช่วงที่มั่ว คือ แค่หลบอันตรายเท่านั้นเอง

แล้วทำไม “หมอเหวง”ไม่หนีเหมือน จรัล ดิษฐาอภิชัย?
...ก็ เราไม่คิดจะหนี เรามีลูก มีครอบครัว มีงานและอีกอย่างเชื่อว่า เราไม่ได้ทำผิด ไม่ได้เป็นพวกก่อการร้าย สนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธ เราเพียงแต่เอาคนมายุบสภา แต่พอมันมีเรื่องประกาศ พรก. เราก็สู้กันไป ก็คิดแค่นั้น ด้านหนึ่งอาจมองว่า พลาดไปก็ได้ ไม่คิดว่า เขาจะเอาตายขนาดนี้ เพราะเชื่อมั่นว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ก่อแก้ว เต้น ก็มีลูกน่ารัก ทุกคนไม่มีใครคิดใช้กำลังอาวุธและสู้กับใครแล้วต้องหนี

แต่แรมโบ้กับกีร์ไปเลย...
“ที่ เขาไปเพราะกลัวถูกเล่นงาน โกรธแค้นกันมาก เพื่อความปลอดภัยจึงไปก่อน และถ้าพรรคพวกไม่เป็นไรก็อาจจะกลับมา แต่ถ้าพรรคพวกถูกกระทำอย่างนี้ มันก็คงยากที่เขาจะกลับมา ฉะนั้น ก็ไม่รู้... อยู่ที่ว่า ถ้าคิดแบบโบราณ คิดว่า เหมือนเกมที่เขาเรียกว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นกบฎ ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร แต่ถ้าคิดแบบทฤษฎีสมัยใหม่ ซีโร่ซัมเกม คือ มันต้องบวกลบกันไปข้างเป็นศูนย์ คือ มึงต้องตายไปข้าง (หัวเราะ) นี่ก็เป็นวิธีคิดของพวกเขาแบบนั้น ไม่ได้คิดตามหลักการของคนยุคใหม่ ที่คนเราสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะได้”

ครูใหญ่โรงเรียนแดงสองยุค
   ธิดา เป็นคนเดือนตุลา เธอบอกเริ่มเข้าป่าปี 2519 ทั้งที่ไม่ต้องเข้าก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องหนี แต่เข้าเพราะแฟชั่น ที่เห็นนักศึกษาหนีเข้าป่าไปเยอะ เธอเล่าชีวิตช่วงนั้นว่า
“ตอนนั้น เพิ่งจบเป็นอาจารย์เด็ก จบปริญญาโท microbiology ที่คณะเภสัช จุฬาฯ เราสงสาร เลยตามเข้าป่าไปดู พี่เลยไปเปิดโรงเรียนแพทย์ในป่าเยอะเลย ตอนนั้นพี่ไปภาคใต้ก่อนและก็ดูงานพรรคคอมมิวนิสต์มลายู จากนั้นไปภาคเหนือ เดินไปเดินมาฝั่งลาวไทย ช่วงนั้นก็ปิดชายแดนอีก พี่ก็ไปอีสานก็ไปเจอหมอเหวงที่นั่น เข้าป่าทั้งหมด 7 ปี ถือว่าผ่านชีวิตลำบากในช่วงนั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ เพราะเป็นช่วงต้นของชีวิต”

   จากเสื้อแดงคอมมิวนิสต์ในป่า สู่เสื้อแดงนปช. หน้าที่หลักที่นปช.มอบให้คือ เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนนปช. ที่แผ่เป็นกิ่งก้านหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ เธอบอกว่า บรรยายในโรงเรียนเรื่องนโยบาย นปช. ทั่วไป แต่ช่วงหลังตั้งโรงเรียนไม่ทัน จึงมีพวกเสื้อแดงด้วยกันแอบอ้างไปทำโรงเรียนนปช.ปลอมกันขึ้นมาเยอะ ทำโดยไปเชิญคนนั้นคนนี้ไปพูดเท่านั้น

   “พอเปิดโรงเรียนนปช.คนก็สมัคร ล้นหลาม ตอนนั้น อดิศร (เพียงเกษ) ก็มาวิ่งขอฝากคนเข้าโรงเรียนนปช.เลย แทนที่จะฝากเข้าสวนกุหลาบ แต่พอมาเปิดเยอะ ปลอมขึ้นมา คือ พูดความจริงไม่หมด ช่วงหลังพี่ก็ด่าซิ” เธอหัวเราะ

จาก Thaienews Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 8/03/2010 07:53:00 ก่อนเที่ยง

Saturday, August 14, 2010

"ความเชื่อ" กับ "ความจริง"

ไพร่แดง

คนร้อยทั้งร้อยมักทำอะไรตามความเชื่อของตัวเอง โลกที่ขับเคลื่อนจากอดีตจนถึงปัจจุบันและกำลังเคลื่อนสู่อนาคตอยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร พลังของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันปรากฏการณ์ ต่างๆ

"สำคัญอยู่ที่ว่า ความเชื่อนั้นเป็นเรื่องเดียวกันกับความจริงหรือไม่"

มนุษยชาติได้สร้างวัฒนธรรมมากมายจากความเชื่อ ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้ทำลายและสูญเสียโอกาสมากมายจากความเชื่อเช่นกัน เมื่อหลายปีก่อนประเทศนี้กระดี๊กระด๊าที่จะได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เรียกกันติดปากอยู่หลายปี ว่าตัวเองกำลังจะเป็น NIC (Newly Industrialized Countries)) ที่สุดก็ถูกน็อค เพราะมันได้ทำลายโครงสร้างทางสังคมเดิมของประเทศนี้อย่างถาวรไปแล้ว ทรัพยากรถูกนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยไร้ทิศทาง และไร้การควบคุม ส่งผลและมีอิทธิพลต่อค่านิยม รสนิยมทางสังคมและความเชื่อใหม่อีกมากมาย

คนมีความเชื่อที่ห่างไกลเหตุผลและความจริงมากขึ้น เช่น การแสวงหาการยอมรับจากคนในสังคมด้วยการโอ้อวดความร่ำรวย ที่ไม่สนใจคุณธรรม การแข่งขันแย่งชิง การสวมหน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันมากขึ้น ทำให้เกิดความสับสนในหมู่คนเพราะ บางครั้งความเชื่อกับความจริงอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

บางคนเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่บางครั้ง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

บางคนเชื่อว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ความจริงในสังคมได้ถูกแบ่งชนชั้นกันมากมาย

บางคนเชื่อว่าทำงานหาเงินส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญาหวังพึ่งพาลูกยามแก่เฒ่า แต่ความจริงลูกหางานทำไม่ได้ กลับมาเป็นภาระหนักยามหมดเรี่ยวแรง

บางคนเชื่อว่าเกษตรกรทำนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งในและต่างประเทศ เสียภาษีให้รัฐมาตลอดหวังพึ่งพายามยาก แต่ความจริง ได้ยินโฆษณากรอกหูทุกวันว่า ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

บางคนเชื่อว่าเสียภาษีให้รัฐไปจ้างข้าราชการมาทำงานรับใช้ประชาชน แต่ความจริงข้าราชการบางคนกลับทำตัวเป็นนายเรา

บางคนเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลจะรัก ดูแลรักษาประชาชน ถามและรับฟังความคิดเห็นด้วยความเคารพยำเกรง แต่ความจริงคือฆาตกร อำมหิต เลือดเย็น

บางคนเชื่อเชื่ออย่างมั่นใจว่า รัฐบาลนี้มีความจริงใจที่จะปรองดองหลังจากฆ่าประชาชนไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังมีการปองร้ายไล่ล่า

แต่ผมยังมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า ต้องแยกกันให้ดี
....ระหว่างความเชื่อกับความจริง เพราะบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน....

"ความเชื่อ" กับ "ความจริง"

ไพร่แดง

คนร้อยทั้งร้อยมักทำอะไรตามความเชื่อของตัวเอง โลกที่ขับเคลื่อนจากอดีตจนถึงปัจจุบันและกำลังเคลื่อนสู่อนาคตอยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร พลังของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันปรากฏการณ์ ต่างๆ

"สำคัญอยู่ที่ว่า ความเชื่อนั้นเป็นเรื่องเดียวกันกับความจริงหรือไม่"

มนุษยชาติได้สร้างวัฒนธรรมมากมายจากความเชื่อ ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้ทำลายและสูญเสียโอกาสมากมายจากความเชื่อเช่นกัน เมื่อหลายปีก่อนประเทศนี้กระดี๊กระด๊าที่จะได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เรียกกันติดปากอยู่หลายปี ว่าตัวเองกำลังจะเป็น NIC (Newly Industrialized Countries)) ที่สุดก็ถูกน็อค เพราะมันได้ทำลายโครงสร้างทางสังคมเดิมของประเทศนี้อย่างถาวรไปแล้ว ทรัพยากรถูกนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยไร้ทิศทาง และไร้การควบคุม ส่งผลและมีอิทธิพลต่อค่านิยม รสนิยมทางสังคมและความเชื่อใหม่อีกมากมาย

คนมีความเชื่อที่ห่างไกลเหตุผลและความจริงมากขึ้น เช่น การแสวงหาการยอมรับจากคนในสังคมด้วยการโอ้อวดความร่ำรวย ที่ไม่สนใจคุณธรรม การแข่งขันแย่งชิง การสวมหน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันมากขึ้น ทำให้เกิดความสับสนในหมู่คนเพราะ บางครั้งความเชื่อกับความจริงอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

บางคนเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่บางครั้ง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

บางคนเชื่อว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ความจริงในสังคมได้ถูกแบ่งชนชั้นกันมากมาย

บางคนเชื่อว่าทำงานหาเงินส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญาหวังพึ่งพาลูกยามแก่เฒ่า แต่ความจริงลูกหางานทำไม่ได้ กลับมาเป็นภาระหนักยามหมดเรี่ยวแรง

บางคนเชื่อว่าเกษตรกรทำนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งในและต่างประเทศ เสียภาษีให้รัฐมาตลอดหวังพึ่งพายามยาก แต่ความจริง ได้ยินโฆษณากรอกหูทุกวันว่า ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

บางคนเชื่อว่าเสียภาษีให้รัฐไปจ้างข้าราชการมาทำงานรับใช้ประชาชน แต่ความจริงข้าราชการบางคนกลับทำตัวเป็นนายเรา

บางคนเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลจะรัก ดูแลรักษาประชาชน ถามและรับฟังความคิดเห็นด้วยความเคารพยำเกรง แต่ความจริงคือฆาตกร อำมหิต เลือดเย็น

บางคนเชื่อเชื่ออย่างมั่นใจว่า รัฐบาลนี้มีความจริงใจที่จะปรองดองหลังจากฆ่าประชาชนไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังมีการปองร้ายไล่ล่า

แต่ผมยังมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า ต้องแยกกันให้ดี
....ระหว่างความเชื่อกับความจริง เพราะบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน....

"ความเชื่อ" กับ "ความจริง"

ไพร่แดง

คนร้อยทั้งร้อยมักทำอะไรตามความเชื่อของตัวเอง โลกที่ขับเคลื่อนจากอดีตจนถึงปัจจุบันและกำลังเคลื่อนสู่อนาคตอยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร พลังของความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการผลักดันปรากฏการณ์ ต่างๆ

"สำคัญอยู่ที่ว่า ความเชื่อนั้นเป็นเรื่องเดียวกันกับความจริงหรือไม่"

มนุษยชาติได้สร้างวัฒนธรรมมากมายจากความเชื่อ ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้ทำลายและสูญเสียโอกาสมากมายจากความเชื่อเช่นกัน เมื่อหลายปีก่อนประเทศนี้กระดี๊กระด๊าที่จะได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เรียกกันติดปากอยู่หลายปี ว่าตัวเองกำลังจะเป็น NIC (Newly Industrialized Countries)) ที่สุดก็ถูกน็อค เพราะมันได้ทำลายโครงสร้างทางสังคมเดิมของประเทศนี้อย่างถาวรไปแล้ว ทรัพยากรถูกนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยไร้ทิศทาง และไร้การควบคุม ส่งผลและมีอิทธิพลต่อค่านิยม รสนิยมทางสังคมและความเชื่อใหม่อีกมากมาย

คนมีความเชื่อที่ห่างไกลเหตุผลและความจริงมากขึ้น เช่น การแสวงหาการยอมรับจากคนในสังคมด้วยการโอ้อวดความร่ำรวย ที่ไม่สนใจคุณธรรม การแข่งขันแย่งชิง การสวมหน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องที่ยอมรับกันมากขึ้น ทำให้เกิดความสับสนในหมู่คนเพราะ บางครั้งความเชื่อกับความจริงอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

บางคนเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่บางครั้ง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

บางคนเชื่อว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ความจริงในสังคมได้ถูกแบ่งชนชั้นกันมากมาย

บางคนเชื่อว่าทำงานหาเงินส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญาหวังพึ่งพาลูกยามแก่เฒ่า แต่ความจริงลูกหางานทำไม่ได้ กลับมาเป็นภาระหนักยามหมดเรี่ยวแรง

บางคนเชื่อว่าเกษตรกรทำนาปลูกข้าวเลี้ยงคนทั้งในและต่างประเทศ เสียภาษีให้รัฐมาตลอดหวังพึ่งพายามยาก แต่ความจริง ได้ยินโฆษณากรอกหูทุกวันว่า ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

บางคนเชื่อว่าเสียภาษีให้รัฐไปจ้างข้าราชการมาทำงานรับใช้ประชาชน แต่ความจริงข้าราชการบางคนกลับทำตัวเป็นนายเรา

บางคนเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลจะรัก ดูแลรักษาประชาชน ถามและรับฟังความคิดเห็นด้วยความเคารพยำเกรง แต่ความจริงคือฆาตกร อำมหิต เลือดเย็น

บางคนเชื่อเชื่ออย่างมั่นใจว่า รัฐบาลนี้มีความจริงใจที่จะปรองดองหลังจากฆ่าประชาชนไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นยังมีการปองร้ายไล่ล่า

แต่ผมยังมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า ต้องแยกกันให้ดี
....ระหว่างความเชื่อกับความจริง เพราะบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน....

เสรีชนคนรากหญ้า...หนึ่งเดียวใน คปร.

สมปอง เวียงจันทร์ อดีตแม่ค้าขายปลาบ้านวังสะแบงใต้ ตำบลหนองแสงใหญ่
อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ที่ล้มละลายเพราะโครงการรัฐอย่าง“เขื่อนปากมูล”


จากคนเรียนจบ ป. 4 ทำงานด้านการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการสร้างเขื่อนปากมูล ป้าสมปองเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐโดยตรง และมีความคิดว่า“สังคมไม่เคยเท่าเทียม การใช้กฎหมายและเลือกปฏิบัติรวมถึงความเหลื่อมล้ำมีอยู่จริง มีอยู่ทั่วไปและขยายวงกว้าง ขณะที่คนรากหญ้ารู้จักคิด ต่อสู้ และรู้สิทธิมากขึ้น เพราะกติกาของสมัชชาบอกเสมอว่าใครยิ่งมีแต้มต่อมากมักเอาชนะได้ง่าย”
 และวันนี้เธอได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) โดยที่ป้าสมปองมองว่า ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ก็คือเรื่องของการปฏิรูปที่ดิน “ถ้าคนทำนาไม่มีที่ดินทำนาแล้วคนไทย จะเอาอะไรกิน”

แนวคิดและข้อเสนอแนะของป้าสมปอง เวียงจันทร์ เสียงสะท้อนของคนรากหญ้า กับปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนเมืองกับคนชนบท ที่ยังขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ และความรู้ในสิทธิของพลเมืองที่ต้องทำให้เกิดความเท่าเทียม หนึ่งเสียงของตัวแทนคนรากหญ้าจะสะท้อนปัญหาและร่วมปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ให้ประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ ติดตามได้ในรายการ Intelligence

เสรีชนคนรากหญ้า...หนึ่งเดียวใน คปร.

สมปอง เวียงจันทร์ อดีตแม่ค้าขายปลาบ้านวังสะแบงใต้ ตำบลหนองแสงใหญ่
อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ที่ล้มละลายเพราะโครงการรัฐอย่าง“เขื่อนปากมูล”


จากคนเรียนจบ ป. 4 ทำงานด้านการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการสร้างเขื่อนปากมูล ป้าสมปองเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐโดยตรง และมีความคิดว่า“สังคมไม่เคยเท่าเทียม การใช้กฎหมายและเลือกปฏิบัติรวมถึงความเหลื่อมล้ำมีอยู่จริง มีอยู่ทั่วไปและขยายวงกว้าง ขณะที่คนรากหญ้ารู้จักคิด ต่อสู้ และรู้สิทธิมากขึ้น เพราะกติกาของสมัชชาบอกเสมอว่าใครยิ่งมีแต้มต่อมากมักเอาชนะได้ง่าย”
 และวันนี้เธอได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) โดยที่ป้าสมปองมองว่า ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ก็คือเรื่องของการปฏิรูปที่ดิน “ถ้าคนทำนาไม่มีที่ดินทำนาแล้วคนไทย จะเอาอะไรกิน”

แนวคิดและข้อเสนอแนะของป้าสมปอง เวียงจันทร์ เสียงสะท้อนของคนรากหญ้า กับปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนเมืองกับคนชนบท ที่ยังขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ และความรู้ในสิทธิของพลเมืองที่ต้องทำให้เกิดความเท่าเทียม หนึ่งเสียงของตัวแทนคนรากหญ้าจะสะท้อนปัญหาและร่วมปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ให้ประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ ติดตามได้ในรายการ Intelligence

เสรีชนคนรากหญ้า...หนึ่งเดียวใน คปร.

สมปอง เวียงจันทร์ อดีตแม่ค้าขายปลาบ้านวังสะแบงใต้ ตำบลหนองแสงใหญ่
อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ที่ล้มละลายเพราะโครงการรัฐอย่าง“เขื่อนปากมูล”


จากคนเรียนจบ ป. 4 ทำงานด้านการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการสร้างเขื่อนปากมูล ป้าสมปองเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐโดยตรง และมีความคิดว่า“สังคมไม่เคยเท่าเทียม การใช้กฎหมายและเลือกปฏิบัติรวมถึงความเหลื่อมล้ำมีอยู่จริง มีอยู่ทั่วไปและขยายวงกว้าง ขณะที่คนรากหญ้ารู้จักคิด ต่อสู้ และรู้สิทธิมากขึ้น เพราะกติกาของสมัชชาบอกเสมอว่าใครยิ่งมีแต้มต่อมากมักเอาชนะได้ง่าย”
 และวันนี้เธอได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) โดยที่ป้าสมปองมองว่า ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ก็คือเรื่องของการปฏิรูปที่ดิน “ถ้าคนทำนาไม่มีที่ดินทำนาแล้วคนไทย จะเอาอะไรกิน”

แนวคิดและข้อเสนอแนะของป้าสมปอง เวียงจันทร์ เสียงสะท้อนของคนรากหญ้า กับปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนเมืองกับคนชนบท ที่ยังขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ และความรู้ในสิทธิของพลเมืองที่ต้องทำให้เกิดความเท่าเทียม หนึ่งเสียงของตัวแทนคนรากหญ้าจะสะท้อนปัญหาและร่วมปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ให้ประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ ติดตามได้ในรายการ Intelligence

เปิดโฉมหน้าชนชั้นใหม่ในวิกฤตการเมือง

เหตุการณ์รัฐประหาร 2549เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่าและชนชั้นใหม่
เกิดการเผชิญหน้า จากงานวิจัยของคณะนักวิจัยจุฬาฯ และธรรมศาสตร์


ผลวิจัยเบื้องต้น ของงานวิจัยเรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของชนชั้นใหม่โดยคณะนักวิจัยจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ นำโดย ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ , ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ และคณะ

งานวิจัยชิ้นนี้จะทำการเปิดโฉมหน้าของชนบทใหม่ ที่ไม่เหมือนโครงสร้างเดิมอีกต่อไป และยังพบว่า มีการเกิดขึ้นของ “ชนชั้นใหม่” ยุคหลังปี 2535 เป็นต้นมา เป็นการเติบโตแบบคู่ขนานกับ “ชนชั้นกลางเก่า” ที่ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 2516 โดยมีเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่า และชนชั้นใหม่ เกิดการเผชิญหน้ากัน

เปิดโฉมหน้าชนชั้นใหม่ในวิกฤตการเมือง

เหตุการณ์รัฐประหาร 2549เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่าและชนชั้นใหม่
เกิดการเผชิญหน้า จากงานวิจัยของคณะนักวิจัยจุฬาฯ และธรรมศาสตร์


ผลวิจัยเบื้องต้น ของงานวิจัยเรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของชนชั้นใหม่โดยคณะนักวิจัยจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ นำโดย ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ , ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ และคณะ

งานวิจัยชิ้นนี้จะทำการเปิดโฉมหน้าของชนบทใหม่ ที่ไม่เหมือนโครงสร้างเดิมอีกต่อไป และยังพบว่า มีการเกิดขึ้นของ “ชนชั้นใหม่” ยุคหลังปี 2535 เป็นต้นมา เป็นการเติบโตแบบคู่ขนานกับ “ชนชั้นกลางเก่า” ที่ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 2516 โดยมีเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่า และชนชั้นใหม่ เกิดการเผชิญหน้ากัน

เปิดโฉมหน้าชนชั้นใหม่ในวิกฤตการเมือง

เหตุการณ์รัฐประหาร 2549เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่าและชนชั้นใหม่
เกิดการเผชิญหน้า จากงานวิจัยของคณะนักวิจัยจุฬาฯ และธรรมศาสตร์


ผลวิจัยเบื้องต้น ของงานวิจัยเรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของชนชั้นใหม่โดยคณะนักวิจัยจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ นำโดย ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ , ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ธรรมศาสตร์ และคณะ

งานวิจัยชิ้นนี้จะทำการเปิดโฉมหน้าของชนบทใหม่ ที่ไม่เหมือนโครงสร้างเดิมอีกต่อไป และยังพบว่า มีการเกิดขึ้นของ “ชนชั้นใหม่” ยุคหลังปี 2535 เป็นต้นมา เป็นการเติบโตแบบคู่ขนานกับ “ชนชั้นกลางเก่า” ที่ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 2516 โดยมีเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 เป็นตัวเร่งให้ชนชั้นกลางเก่า และชนชั้นใหม่ เกิดการเผชิญหน้ากัน

"เขาพระวิหาร" ปลุกกระแสรักชาติ ?.คลั่งชาติ ?

กรณีปราสาทพระวิหารกำลังปลุกกระแสชาตินิยม
แต่ก็ทำคนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด จนอาจนำไปสู่ความคลั่งชาติได้


ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกสร้างรอยร้าวให้กับทั้ง 2 ประเทศ คนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด กลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเขาพระวิหารเป็นของไทย แต่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และให้ถอนตัวออกจากยูเนสโก อีกกลุ่มมองว่าการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยควรเสนอขึ้นร่วมกับกัมพูชาและหาประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมาทะเลาะกันในเรื่องเขตแดนเพียงอย่างเดียว

สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (ทีมทนายความในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ปี 2502-2505) แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีแต่พื้นที่ในเขตอธิปไตยของไทย แม้ว่ากัมพูชาชนะคดีในศาลโลก แต่ก็ขึ้นไปทำอะไรบนปราสาทไม่ได้ แต่ที่ผ่านมากลับมีความพยายามเอาแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมของกัมพูชากับฝรั่งเศสมาใช้ โดยไม่ยอมพูดว่าเป็นแผนที่ของฝรั่งเศสที่ไทยไม่เคยยอมรับ

ในส่วนของนักวิชาอีกด้านหนึ่งมองว่า กรณีปราสาทพระวิหาร กำลังสร้างความรู้สึกให้ประชาชนเกิดความคลั่งชาติ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไทยไม่ควรมองการแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการใช้ความรุนแรงหรือมาตรการทางทหาร ซึ่งมีหลายประเทศที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องเขตแดนได้ แต่ก็เจรจากันในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

"เขาพระวิหาร" ปลุกกระแสรักชาติ ?.คลั่งชาติ ?

กรณีปราสาทพระวิหารกำลังปลุกกระแสชาตินิยม
แต่ก็ทำคนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด จนอาจนำไปสู่ความคลั่งชาติได้


ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกสร้างรอยร้าวให้กับทั้ง 2 ประเทศ คนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด กลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเขาพระวิหารเป็นของไทย แต่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และให้ถอนตัวออกจากยูเนสโก อีกกลุ่มมองว่าการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยควรเสนอขึ้นร่วมกับกัมพูชาและหาประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมาทะเลาะกันในเรื่องเขตแดนเพียงอย่างเดียว

สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (ทีมทนายความในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ปี 2502-2505) แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีแต่พื้นที่ในเขตอธิปไตยของไทย แม้ว่ากัมพูชาชนะคดีในศาลโลก แต่ก็ขึ้นไปทำอะไรบนปราสาทไม่ได้ แต่ที่ผ่านมากลับมีความพยายามเอาแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมของกัมพูชากับฝรั่งเศสมาใช้ โดยไม่ยอมพูดว่าเป็นแผนที่ของฝรั่งเศสที่ไทยไม่เคยยอมรับ

ในส่วนของนักวิชาอีกด้านหนึ่งมองว่า กรณีปราสาทพระวิหาร กำลังสร้างความรู้สึกให้ประชาชนเกิดความคลั่งชาติ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไทยไม่ควรมองการแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการใช้ความรุนแรงหรือมาตรการทางทหาร ซึ่งมีหลายประเทศที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องเขตแดนได้ แต่ก็เจรจากันในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

"เขาพระวิหาร" ปลุกกระแสรักชาติ ?.คลั่งชาติ ?

กรณีปราสาทพระวิหารกำลังปลุกกระแสชาตินิยม
แต่ก็ทำคนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด จนอาจนำไปสู่ความคลั่งชาติได้


ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกสร้างรอยร้าวให้กับทั้ง 2 ประเทศ คนไทยแตกออกเป็น 2 ขั้วความคิด กลุ่มหนึ่งยืนยันว่าเขาพระวิหารเป็นของไทย แต่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และให้ถอนตัวออกจากยูเนสโก อีกกลุ่มมองว่าการจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยควรเสนอขึ้นร่วมกับกัมพูชาและหาประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมาทะเลาะกันในเรื่องเขตแดนเพียงอย่างเดียว

สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (ทีมทนายความในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ปี 2502-2505) แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีแต่พื้นที่ในเขตอธิปไตยของไทย แม้ว่ากัมพูชาชนะคดีในศาลโลก แต่ก็ขึ้นไปทำอะไรบนปราสาทไม่ได้ แต่ที่ผ่านมากลับมีความพยายามเอาแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมของกัมพูชากับฝรั่งเศสมาใช้ โดยไม่ยอมพูดว่าเป็นแผนที่ของฝรั่งเศสที่ไทยไม่เคยยอมรับ

ในส่วนของนักวิชาอีกด้านหนึ่งมองว่า กรณีปราสาทพระวิหาร กำลังสร้างความรู้สึกให้ประชาชนเกิดความคลั่งชาติ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไทยไม่ควรมองการแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการใช้ความรุนแรงหรือมาตรการทางทหาร ซึ่งมีหลายประเทศที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องเขตแดนได้ แต่ก็เจรจากันในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

เขาพระวิหาร.มรดกไทย?.มรดกกัมพูชา?.มรดกโลก!

ไทยควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้“เขาพระวิหาร”เป็นมรดกโลก
ข้ามเขตแดนและสร้างประโยชน์จากสิ่งที่มี ที่สำคัญต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน


จากกรณีที่กัมพูชาได้เสนอให้ "ปราสาทเขาพระวิหาร " เป็นมรดกโลก โดยเป็นการเสนอของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารอยู่ชิดติดเขตแดนไทยและจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้ไทยคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก จึงมีการเลื่อนการเสนอเรื่องนี้ออกไป เพื่อให้ไทยและกัมพูชาหาข้อยุติร่วมกันต่อกรณีนี้

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล จนมีมติการพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกไปในการประชุมปี 2554 ที่ประเทศบาห์เรน

อาจารย์มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มศว ประสานมิตร และอาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า เราควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้เป็นมรดกข้ามเขตแดน และสร้างประโยชน์จากที่มีอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือ ไทยต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่าไม่ได้โดดเดี่ยว ขณะนี้ไทยกำลังปฏิเสธกระแสของอาเซียน เรื่องดังกล่าวกำลังสะท้อนว่าประเทศไทยต้องการอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ ในกรณีของเยอรมนีและโปแลนด์ที่มีพื้นที่ทับซ้อนเหมือนเขาพระวิหาร แต่สามารถสร้างประโยชน์จากพื้นที่นั้นได้ โดยการพัฒนาเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญ โดยไม่อิงเรื่องเขตแดน

เขาพระวิหาร.มรดกไทย?.มรดกกัมพูชา?.มรดกโลก!

ไทยควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้“เขาพระวิหาร”เป็นมรดกโลก
ข้ามเขตแดนและสร้างประโยชน์จากสิ่งที่มี ที่สำคัญต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน


จากกรณีที่กัมพูชาได้เสนอให้ "ปราสาทเขาพระวิหาร " เป็นมรดกโลก โดยเป็นการเสนอของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารอยู่ชิดติดเขตแดนไทยและจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้ไทยคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก จึงมีการเลื่อนการเสนอเรื่องนี้ออกไป เพื่อให้ไทยและกัมพูชาหาข้อยุติร่วมกันต่อกรณีนี้

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล จนมีมติการพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกไปในการประชุมปี 2554 ที่ประเทศบาห์เรน

อาจารย์มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มศว ประสานมิตร และอาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า เราควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้เป็นมรดกข้ามเขตแดน และสร้างประโยชน์จากที่มีอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือ ไทยต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่าไม่ได้โดดเดี่ยว ขณะนี้ไทยกำลังปฏิเสธกระแสของอาเซียน เรื่องดังกล่าวกำลังสะท้อนว่าประเทศไทยต้องการอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ ในกรณีของเยอรมนีและโปแลนด์ที่มีพื้นที่ทับซ้อนเหมือนเขาพระวิหาร แต่สามารถสร้างประโยชน์จากพื้นที่นั้นได้ โดยการพัฒนาเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญ โดยไม่อิงเรื่องเขตแดน

เขาพระวิหาร.มรดกไทย?.มรดกกัมพูชา?.มรดกโลก!

ไทยควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้“เขาพระวิหาร”เป็นมรดกโลก
ข้ามเขตแดนและสร้างประโยชน์จากสิ่งที่มี ที่สำคัญต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน


จากกรณีที่กัมพูชาได้เสนอให้ "ปราสาทเขาพระวิหาร " เป็นมรดกโลก โดยเป็นการเสนอของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารอยู่ชิดติดเขตแดนไทยและจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้ไทยคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก จึงมีการเลื่อนการเสนอเรื่องนี้ออกไป เพื่อให้ไทยและกัมพูชาหาข้อยุติร่วมกันต่อกรณีนี้

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล จนมีมติการพิจารณาแผนการจัดการบริหารมรดกโลกของกัมพูชาออกไปในการประชุมปี 2554 ที่ประเทศบาห์เรน

อาจารย์มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มศว ประสานมิตร และอาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า เราควรมองไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้เป็นมรดกข้ามเขตแดน และสร้างประโยชน์จากที่มีอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือ ไทยต้องจริงใจต่อเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่าไม่ได้โดดเดี่ยว ขณะนี้ไทยกำลังปฏิเสธกระแสของอาเซียน เรื่องดังกล่าวกำลังสะท้อนว่าประเทศไทยต้องการอยู่คนเดียวใช่หรือไม่ ในกรณีของเยอรมนีและโปแลนด์ที่มีพื้นที่ทับซ้อนเหมือนเขาพระวิหาร แต่สามารถสร้างประโยชน์จากพื้นที่นั้นได้ โดยการพัฒนาเป็นแหล่งมรดกโลกที่สำคัญ โดยไม่อิงเรื่องเขตแดน

Thursday, August 5, 2010

จับตาภาคประชาชน

กิตติชัย งามชัยพิศิษฐ์
จากสถาบันต้นกล้า
นักพัฒนารุ่นกลางเก่ากลางใหม่

พูดถึงปัญหาของ"ภาคประชาชน"ที่ช่างดูเหมือนเลื่อนลอยและกระจุกกระจุยจนจับต้องไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันกลับกดทับประชาชนที่เห็นต่างให้เป็นอื่น


คลิปวีดีโอสั้นๆ จากกลุ่ม"Thai Social Movement Watch (TSMW)" หรือ "กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย" ซึ่งประกอบด้วยอดีตและปัจจุบันของนักพัฒนากลุ่มเล็กจำนวนหนึ่งซึ่งตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของวาทกรรม "ภาคประชาชน" ที่ซ้ำเติมต่อชีวิตของคนเสื้อแดงกว่า 90 ชีวิต ที่สูญสลายอย่างไร้ค่าในสายตาของผู้ที่สะดีดสะดุ้งต่อการถล่มทลายของโรงภาพยนต์สยามและห้างสรรพสินค้า Central World

กันยา ปันกิติ
ความเห็นชาวบ้านต่อ‘ขบวนการภาคประชาชน’และ‘NGO’
กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย
Thai Social Movement Watch (TSMW)

"เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน...” กันยา ปันกิติ ชาวบ้านผู้เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปที่ดินให้คนจนมีสิทธิทำอยู่ ทำกิน สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย


ความเห็นของ กันยา ปันกิติ ชาวบ้านเครือข่ายชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย อ.รัษดา จ.ตรัง ต่อ “ขบวนการภาคประชาชน” และ “NGO” ใน ซีรี่ส์สั้นๆ “NGO เป็นไงในขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” กิจกรรมตีปี๊บ “เวทีทบทวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศไทย” โดย Thai Social Movement Watch: TSMW หรือในชื่อภาษาไทยว่า “กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย”

เมื่อภาคประชาชน คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศ คือภาคประชาชน คนยากคนจน และเอ็นจีโอ ถือเป็น ส่วนหนึ่งของภาคประชาชน ที่ช่วยในการเชื่อมประสานกับภาคส่วนต่างๆ และถึงวันนี้ภาคประชาชนก็ยังต้องการเอ็นจีโออยู่

“เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน... อยากให้มีส่วนหนุน ส่วนเสริม ไม่ใช่มาครอบงำพี่น้องชาวบ้าน..” นี่คือมุมมองของกันยา และสำหรับเธอเอ็นจีโอควรเป็นผู้ประคับประคอง เพื่อให้เขาได้ยืนด้วยตนเอง

กันยา ปันกิติ เธอคือชาวบ้านผู้ประสบปัญหาการประกาศเขตป่าทับที่ดินทำกิน ในพื้นที่ จ.ตรัง และได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้กับเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด ในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ก้าวสู่การเป็นตัวแทนเจรจากับภาครัฐ ขณะนี้เธอคือหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กับรัฐบาล ในวันที่กระแสการปฏิรูปเป็นที่แพร่หลายในสังคม

(สัมภาษณ์เมื่อ 3 ส.ค.53 ที่สำนักงานกลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นสากล)
........................................................................................................................
หมายเหตุ: กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย (Thai Social Movement Watch) เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนา อดีตนักพัฒนา นักศึกษา และนักวิชาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง สนใจ และห่วงใยในสภาวการณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไทยภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

ที่มา : ประชาไท

จับตาภาคประชาชน

กิตติชัย งามชัยพิศิษฐ์
จากสถาบันต้นกล้า
นักพัฒนารุ่นกลางเก่ากลางใหม่

พูดถึงปัญหาของ"ภาคประชาชน"ที่ช่างดูเหมือนเลื่อนลอยและกระจุกกระจุยจนจับต้องไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันกลับกดทับประชาชนที่เห็นต่างให้เป็นอื่น


คลิปวีดีโอสั้นๆ จากกลุ่ม"Thai Social Movement Watch (TSMW)" หรือ "กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย" ซึ่งประกอบด้วยอดีตและปัจจุบันของนักพัฒนากลุ่มเล็กจำนวนหนึ่งซึ่งตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของวาทกรรม "ภาคประชาชน" ที่ซ้ำเติมต่อชีวิตของคนเสื้อแดงกว่า 90 ชีวิต ที่สูญสลายอย่างไร้ค่าในสายตาของผู้ที่สะดีดสะดุ้งต่อการถล่มทลายของโรงภาพยนต์สยามและห้างสรรพสินค้า Central World

กันยา ปันกิติ
ความเห็นชาวบ้านต่อ‘ขบวนการภาคประชาชน’และ‘NGO’
กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย
Thai Social Movement Watch (TSMW)

"เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน...” กันยา ปันกิติ ชาวบ้านผู้เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปที่ดินให้คนจนมีสิทธิทำอยู่ ทำกิน สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย


ความเห็นของ กันยา ปันกิติ ชาวบ้านเครือข่ายชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย อ.รัษดา จ.ตรัง ต่อ “ขบวนการภาคประชาชน” และ “NGO” ใน ซีรี่ส์สั้นๆ “NGO เป็นไงในขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” กิจกรรมตีปี๊บ “เวทีทบทวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศไทย” โดย Thai Social Movement Watch: TSMW หรือในชื่อภาษาไทยว่า “กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย”

เมื่อภาคประชาชน คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศ คือภาคประชาชน คนยากคนจน และเอ็นจีโอ ถือเป็น ส่วนหนึ่งของภาคประชาชน ที่ช่วยในการเชื่อมประสานกับภาคส่วนต่างๆ และถึงวันนี้ภาคประชาชนก็ยังต้องการเอ็นจีโออยู่

“เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน... อยากให้มีส่วนหนุน ส่วนเสริม ไม่ใช่มาครอบงำพี่น้องชาวบ้าน..” นี่คือมุมมองของกันยา และสำหรับเธอเอ็นจีโอควรเป็นผู้ประคับประคอง เพื่อให้เขาได้ยืนด้วยตนเอง

กันยา ปันกิติ เธอคือชาวบ้านผู้ประสบปัญหาการประกาศเขตป่าทับที่ดินทำกิน ในพื้นที่ จ.ตรัง และได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้กับเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด ในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ก้าวสู่การเป็นตัวแทนเจรจากับภาครัฐ ขณะนี้เธอคือหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กับรัฐบาล ในวันที่กระแสการปฏิรูปเป็นที่แพร่หลายในสังคม

(สัมภาษณ์เมื่อ 3 ส.ค.53 ที่สำนักงานกลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นสากล)
........................................................................................................................
หมายเหตุ: กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย (Thai Social Movement Watch) เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนา อดีตนักพัฒนา นักศึกษา และนักวิชาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง สนใจ และห่วงใยในสภาวการณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไทยภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

ที่มา : ประชาไท

จับตาภาคประชาชน

กิตติชัย งามชัยพิศิษฐ์
จากสถาบันต้นกล้า
นักพัฒนารุ่นกลางเก่ากลางใหม่

พูดถึงปัญหาของ"ภาคประชาชน"ที่ช่างดูเหมือนเลื่อนลอยและกระจุกกระจุยจนจับต้องไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันกลับกดทับประชาชนที่เห็นต่างให้เป็นอื่น


คลิปวีดีโอสั้นๆ จากกลุ่ม"Thai Social Movement Watch (TSMW)" หรือ "กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย" ซึ่งประกอบด้วยอดีตและปัจจุบันของนักพัฒนากลุ่มเล็กจำนวนหนึ่งซึ่งตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของวาทกรรม "ภาคประชาชน" ที่ซ้ำเติมต่อชีวิตของคนเสื้อแดงกว่า 90 ชีวิต ที่สูญสลายอย่างไร้ค่าในสายตาของผู้ที่สะดีดสะดุ้งต่อการถล่มทลายของโรงภาพยนต์สยามและห้างสรรพสินค้า Central World

กันยา ปันกิติ
ความเห็นชาวบ้านต่อ‘ขบวนการภาคประชาชน’และ‘NGO’
กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย
Thai Social Movement Watch (TSMW)

"เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน...” กันยา ปันกิติ ชาวบ้านผู้เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปที่ดินให้คนจนมีสิทธิทำอยู่ ทำกิน สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย


ความเห็นของ กันยา ปันกิติ ชาวบ้านเครือข่ายชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย อ.รัษดา จ.ตรัง ต่อ “ขบวนการภาคประชาชน” และ “NGO” ใน ซีรี่ส์สั้นๆ “NGO เป็นไงในขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” กิจกรรมตีปี๊บ “เวทีทบทวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเทศไทย” โดย Thai Social Movement Watch: TSMW หรือในชื่อภาษาไทยว่า “กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย”

เมื่อภาคประชาชน คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศ คือภาคประชาชน คนยากคนจน และเอ็นจีโอ ถือเป็น ส่วนหนึ่งของภาคประชาชน ที่ช่วยในการเชื่อมประสานกับภาคส่วนต่างๆ และถึงวันนี้ภาคประชาชนก็ยังต้องการเอ็นจีโออยู่

“เอ็นจีโอควรปรับตัวในเรื่องของการครอบงำ... การครอบงำภาคประชาชน... อยากให้มีส่วนหนุน ส่วนเสริม ไม่ใช่มาครอบงำพี่น้องชาวบ้าน..” นี่คือมุมมองของกันยา และสำหรับเธอเอ็นจีโอควรเป็นผู้ประคับประคอง เพื่อให้เขาได้ยืนด้วยตนเอง

กันยา ปันกิติ เธอคือชาวบ้านผู้ประสบปัญหาการประกาศเขตป่าทับที่ดินทำกิน ในพื้นที่ จ.ตรัง และได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้กับเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด ในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ก้าวสู่การเป็นตัวแทนเจรจากับภาครัฐ ขณะนี้เธอคือหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กับรัฐบาล ในวันที่กระแสการปฏิรูปเป็นที่แพร่หลายในสังคม

(สัมภาษณ์เมื่อ 3 ส.ค.53 ที่สำนักงานกลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นสากล)
........................................................................................................................
หมายเหตุ: กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย (Thai Social Movement Watch) เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนา อดีตนักพัฒนา นักศึกษา และนักวิชาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง สนใจ และห่วงใยในสภาวการณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไทยภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

ที่มา : ประชาไท